เปิดคลิปถ้อยแถลง "บิ๊กตู่" ปลุกนานาชาติ จับมือสู้โควิด ภัยของมวลมนุษยชาติ

26 เม.ย. 2564 | 11:39 น.

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ESCAP  ชี้โควิด19 เป็นภัยคุกคามร่วมของมวลมนุษยชาติ บททดสอบความร่วมมือในประเทศและระหว่างประเทศ 

วันนี้ (26 เมษายน 2564) เวลา 13.50 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดการประชุมประจำปีของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก(ESCAP) สมัยที่ 77

ภายใต้หัวข้อหลัก “การฟื้นฟูกลับมาให้ดีกว่าเดิมจากวิกฤตผ่านความร่วมมือในระดับภูมิภาคเอเชียเเละเเปซิฟิก” (Building back better from crises through regional cooperation in Asia and the Pacific) โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
 
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมประจำปีของเอสแคปในปีนี้ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเจ้าภาพของเอสแคป การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็น“ภัยคุกคามร่วม” ของมวลมนุษยชาติ ถือเป็นบททดสอบความร่วมมือภายในประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อฟื้นฟูภายหลังจากวิกฤตให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม (Build Back Better) และเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตอื่นๆ ในอนาคต

โดยไทยตระหนักว่า การฟื้นฟูต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นศูนย์กลางและไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุข คือควรมีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนและบริการทางการแพทย์อย่างเสมอภาค ด้านสังคม คือเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบคุ้มครองทางสังคมเพื่อรักษาสวัสดิภาพและความกินดีอยู่ดีของประชาชน และด้านเศรษฐกิจ คือพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่การสร้างความเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 

เปิดคลิปถ้อยแถลง "บิ๊กตู่" ปลุกนานาชาติ จับมือสู้โควิด ภัยของมวลมนุษยชาติ

นอกจากนี้ ต้องตระหนักถึงการสร้างความเจริญเติบโตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย โดยไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ปรับวิถีเศรษฐกิจไทยจาก การผลิตมากแต่สร้างรายได้น้อย ไปสู่การผลิตน้อยแต่สร้างรายได้มาก ตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้บรรลุตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2030

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นย้ำว่า ในการฟื้นฟูจากวิกฤต ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์จากการแข่งขัน มาสู่ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกันและกัน มุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยืดหยุ่น และยั่งยืน
 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ชื่นชมและยืนยันที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของเอสแคป เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ของประเทศสมาชิก ทั้งทางด้านเทคนิค การรับมือกับภัยพิบัติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ประเทศไทยในฐานะเจ้าบ้านของเอสแคป ยินดีให้ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ขับเคลื่อนการดำเนินงานของเอสแคปอย่างเข้มแข็งต่อไป เพื่อฟื้นฟูในภูมิภาคให้กลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เติบโตอย่างสมดุลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งต่อชีวิตที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลังต่อไป
 
อนึ่ง การประชุมของเอสแคปในปีนี้ ให้ความสำคัญกับการร่วมหารือถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อแสวงหาแนวทางในการปรับตัวและฟื้นกลับมาให้ดีกว่าเดิม รวมทั้งแสวงหาภูมิคุ้มกัน และเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคให้เข้มแข็งเพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคตผ่าน 4 สาขาที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่

1. การขยายการคุ้มครองทางสังคม

2. การลงทุนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

3. สร้างความเข้มแข็งให้กับการเชื่อมต่อและห่วงโซ่อุปทาน

และ 4. ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมในช่วงพิธีเปิด ได้แก่ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ประธานาธิบดีรัฐคิริบาส ประธานาธิบดีรัฐอุซเบกิสถาน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ประธานสมัชชาสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน เป็นประธานการประชุม

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล