"หมอยง"ไขข้อข้องใจวัคซีน"โควิด" 28 ล้านโดส ใช้ในภาวะฉุกเฉินเพียงพอหรือไม่

21 ม.ค. 2564 | 08:47 น.

"หมอยง"แจงปมกรณีไทยใช้วัคซีน"โควิด" ในเบื้องต้น 28 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว บุคลากรหน้าด่าน ถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิต

จากกรณีที่ประเทศไทยได้เตรียมวัคซีนโควิด-19 เบื้องต้น 28 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว และบุคลากรด่านหน้า เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิต ซึ่งจากปริมาณดังกล่าวถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์  โดยศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมี 4 ประเด็นหลักได้แก่

 

ประเด็นแรกเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนที่นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน


-หากเป็นยามปกติในโรคปกติ การคิดค้นวัคซีนใหม่จะเป็นไปตามขั้นตอนคือ ในสัตว์ทดลอง ศึกษาความปลอดภัย กระตุ้นภูมิต้านทานได้ จะขออนุญาตทดลองในมนุษย์ ซึ่งมี 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 ศึกษาความปลอดภัย ระยะที่ 2 กระตุ้นภูมิต้านทานได้จริงหรือไม่ และระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน


โดยจะแบ่งกลุ่มให้วัคซีนจริงและและวัคซีนหลอก แล้วติดตามไปอีกเป็นปี เพื่อดูประสิทธิภาพ แต่ในภาวะโรคระบาด ไม่สามารถรอจนสิ้นสุดการวิจัยได้ 


ดังนั้นจึงกำหนดว่า ถ้ามีผู้ป่วยเกิดขึ้น ตามจำนวนเป้าหมาย ก็จะมาดูข้อมูล ทั้งกลุ่มที่ให้วัคซีนจริงและวัคซีนหลอกว่า มีการติดโรคกลุ่มละกี่คน เพื่อคำนวณเรื่องประสิทธิภาพ


ทั้งนี้โรคโควิด-19 เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ อาการน้อยมาก น้อย ปานกลางจนถึงมาก วัคซีนแต่ละตัวกำหนดนิยามการติดโรคต่างกัน บางตัวมีอาการน้อยมากมากถือว่าติดโรค บางวัคซีนคิดตั้งแต่ป่วยน้อยหรือปานกลางจึงจะถือว่าติดโรค การดูประสิทธิภาพจึงต้องดูผลของการป่วยระดับใดของแต่ละตัว


ทั้งนี้ เมื่อได้ผลเบื้องต้นของระยะที่ 3 จะขออนุมัติใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของแต่ละประเทศ จะเป็นผู้พิจารณาข้อมูลอย่างละเอียด โดยเน้นเรื่องความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล หากมีผลดีมากกว่าการปล่อยให้ติดโรค ก็จะอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน 


เมื่อการศึกษามีความก้าวหน้าหรือสมบูรณ์มากขึ้นก็สามารถยื่นข้อมูลเพิ่ม เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ใช้ในภาวะปกติได้ ส่วนกลุ่มคนที่รับฉีดวัคซีนต้องติดตามไปอย่างน้อย 2 ปี ถ้าเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต้องรายงานตามระบบ

 

ประเด็นที่สอง รูปแบบของวัคซีนที่จะนำมาฉีดในประเทศไทย


-ปัจจุบันวัคซีนโควิด-19 ที่กำลังนำมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน มี 3 รูปแบบ คือ


1.ชนิด mRNA โดยใช้รหัสพันธุกรรม RNA ของไวรัสโควิด-19 มาห่อหุ้มด้วยตัวนำ Nano Particle วัคซีนกลุ่มนี้คือ ของบริษัทไฟเซอร์ และบริษัทโมเดอร์นา เป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งไม่เคยใช้ในมนุษย์มาก่อน  


2.ไวรัสเวคเตอร์ เป็นการนำสารพันธุกรรมไวรัสโควิด-19 มาฝากกับไวรัสที่ไม่ก่อโรคหรือถูกทำหมันแล้ว ได้แก่ ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า สปุตนิกของรัสเซีย และแคนไซโนของจีน ซึ่งรูปแบบนี้เคยใช้ในวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา ที่ฉีดหลายแสนคนในแอฟริกา 


3.วัคซีนเชื้อตาย โดยเพาะเลี้ยงไวรัสจำนวนมากแล้วทำให้ไวรัสตาย นำมาใส่สารช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และฉีดให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน แต่ต้องให้หลายครั้ง การเพาะเชื้อต้องทำในห้องชีวนิรภัยระดับสูง 


ข้อดีคือ ไทยรู้จักรูปแบบนี้มานานกว่า 70 ปี ทั้งวัคซีนโปลิโอ ไวรัสตับอักเสบเอ พิษสุนัขบ้า อาการข้างเคียงต่างๆ ศึกษาง่ายกว่าวัคซีนชนิดใหม่ที่ไม่เคยศึกษามาก่อน แต่การผลิตจำนวนมากไม่สามารถลดต้นทุนให้ถูกลงเท่า 2 รูปแบบแรก ประเทศไทยจึงเลือกทางสายกลางในการนำวัคซีนไวรัสเวคเตอร์และวัคซีนชนิดเชื้อตายที่เคยมีการใช้มาบ้างเข้ามาใช้

 

ประเด็นที่สาม กลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีน


-เนื่องจากผลการศึกษาวัคซีนทุกตัวเป็นเรื่องประสิทธิผลลดอาการรุนแรงและลดการเสียชีวิต ยังไม่มีผลการศึกษาที่บอกว่าจะลดการติดโรคหรือลดการแพร่เชื้อ คือ ไม่ได้บอกว่าฉีดแล้วจะไม่เป็นโรค เหมือนกรณีวัคซีนคอตีบที่ฉีดแล้วจะไม่เป็นโรคคอตีบ ยังติดเชื้อและแพร่เชื้อได้


ดังนั้น จุดมุ่งหมายในการฉีดวัคซีนโควิด-19 จึงไม่ใช่ฉีดให้คนหนุ่มสาวเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุ เพราะยังไม่มีข้อมูลว่าจะป้องกันการติดโรค แต่จะฉีดให้กลุ่มที่เสี่ยงที่ติดเชื้อแล้วอาการรุนแรง นอนในโรงพยาบาลและเสียชีวิตสูง คือ ผู้สูงอายุ คนมีโรคประจำตัว บุคลากรด่านหน้า เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากร 


ส่วนที่ไม่ให้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากยังไม่มีการศึกษา และยังไม่รู้ว่าจะต้องลดโดสลงครึ่งหนึ่งหรือไม่ ในสตรีตั้งครรภ์ก็เช่นกัน ยังไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ แต่หากอยู่ในวงระบาดอย่างหนักก็อาจมีการพิจารณาเป็นรายกรณี
 

ประเด็นที่สี่ เรื่องผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน


-ต้องแยกก่อนว่ามีอาการไม่พึงประสงค์ และอาการข้างเคียงของวัคซีน อาการข้างเคียงคือผลที่เกิดขึ้นจากวัคซีนจริง แต่อาการไม่พึงประสงค์ อาจเกิดจากตัววัคซีนหรือไม่ก็ได้ ต้องมีคณะกรรมการด้านความปลอดภัยพิจารณา เพื่อพิสูจน์ว่าอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีนหรือไม่ 


ถ้าเกี่ยวข้องจะเป็นอาการข้างเคียง เช่นเดียวกับที่มีข่าวการเสียชีวิตหลังการฉีดที่นอร์เวย์ 29 รายนี้เป็นอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน จึงต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ 

ศ.นพ.​ยง​  ภู่วรวรรณ

ศ.นพ.ยง ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า วัคซีนจากแอสตราเซนเนกา 26 ล้านโดส และซิโนแวค 2 ล้านโดส ขณะนี้ถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากฉีดให้แก่กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ คือ ผู้สูงอายุ มีประมาณ 10 ล้านคน คนที่มีโรคประจำตัว และบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า รวมแล้วประมาณ 13-14 ล้านคน ฉีดคนละ 2 โดส จำนวน 28 ล้านโดสก็ถือว่ามีความเหมาะสม


ขณะนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย เนื่องจากมีจำนวนน้อย ดังนั้น เมื่อเรารอจนถึงใกล้สิ้นปี หรือปีหน้า ตลาดวัคซีนจะเป็นของผู้ซื้อ เนื่องจากจะมีวัคซีนออกมามากขึ้น เราก็สามารถเลือกวัคซีนที่ดีที่สุด ราคาเหมาะสมที่สุด มาฉีดเพิ่มเติมหลังจากนี้ได้ ซึ่งปี 2564 วัคซีนเป็นเพียงมาตรการเสริมจากมาตรการที่ไทยได้ทำดีอยู่แล้ว คือ การสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง จึงขอทุกคนช่วยกันมีระเบียบวินัยในการป้องกันโรคต่อไป จะช่วยให้ผ่านวิกฤตไปด้วยกันได้
 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

รวมข่าว "โควิด-19" วันที่ 21 ม.ค.64 แบบอัพเดทล่าสุด

"หมอธีระ" ย้ำควรตรวจ"โควิด"ในกลุ่มพื้นที่เสี่ยงทุกคน

เปิดไทม์ไลน์ "ดีเจมะตูม" ติดเชื้อโควิด-19

ยอดติดเชื้อโควิด 21 ม.ค.64 รายใหม่ 142 ในประเทศ 125 หายป่วยเพิ่ม 221 ราย

เปิดข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 142 ราย