ทอท.เยียวยาผู้ประกอบการกว่า 1 พันสัญญา

30 ก.ค. 2563 | 12:16 น.

“นิตินัย” แจงยิบ ทอท.ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรวมถึงสายการบินกว่า 1,000 สัญญา เพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกสัญญา สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19

        นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยประกาศจำกัดการเดินทางเข้าหรือออกนอกประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้การเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศหยุดชะงัก รวมถึงจำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ สนามบินของทอท. โดยรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง
      ส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการและสายการบินกว่า 1,000 สัญญา มีรายได้ลดลงในขณะที่ต้องรับภาระจากค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนั้น ทอท. ในฐานะรัฐพาณิชย์ได้มีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการ จากการลดลงของจำนวนผู้โดยสาร และสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ โดยในการประชุมคณะกรรมการ ทอท.ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญากับทอท. ซึ่งได้มีการเรียกเก็บเฉพาะค่าผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละจากยอดขายสินค้า โดยไม่เรียกเก็บผลตอบแทนขั้นต่ำ
       กล่าวคือ หากผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายมากหรือน้อย ทอท. จะได้ส่วนแบ่งมากหรือน้อยตามสัดส่วนด้วยเช่นกัน ซึ่งมาตรการดังกล่าวเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมาจนถึง 31 มีนาคม 2565 รวมทั้งได้ขยายระยะเวลาการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนในการประกอบกิจการของผู้ประกอบการสำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2563 ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน จากวันครบกำหนดชำระตามระยะเวลาปกติให้กับผู้ประกอบการที่ร้องขอ
       ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการทอท. ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ที่ประชุมมีมติอนุมัติกำหนดอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนคงที่และอัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากการประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายหลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการข้างต้น กล่าวคือ เมื่อสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือ   ในวันที่ 31 มีนาคม 2565 แล้ว ทอท.จะเรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำโดยใช้อัตราผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของปี 2562 เป็นฐานของการคำนวณ

          นอกจากนี้ มติที่ประชุมในวันดังกล่าวยังได้มีการขยายมาตรการช่วยเหลือให้กับผู้ประกอบการสายการบินเพิ่มเติม อาทิ การเรียกเก็บค่า Landing และ Parking ในอัตราร้อยละ 50 ในส่วนของ   ค่าเช่าและค่าใช้อาคาร หากผู้ประกอบการประสงค์เปิดขายเก็บร้อยละ 50 แต่หากมีหนังสือร้องขอเพื่อปิดกิจการชั่วคราวทอท. ไม่เก็บค่าเช่า และให้ผู้ประกอบการรวมทั้งสายการบินเลื่อนการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้นในการประกอบกิจการของผู้ประกอบการและสายการบินสำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตามระยะเวลาปกติ ออกไปเป็นระยะเวลา  6 เดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563 ตามที่ผู้ประกอบการและสายการบินร้องขออีกด้วย

      ล่าสุดเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายลง ในการประชุมคณะกรรมการทอท. ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติขยายระยะเวลาการเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนในการประกอบกิจการของผู้ประกอบการและสายการบินอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ณ สนามบินของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง สำหรับงวดที่ครบกำหนดชำระตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - กรกฎาคม 2563 จาก 6 เดือน เป็น 12 เดือน

ทอท.เยียวยาผู้ประกอบการกว่า 1 พันสัญญา

    อย่างไรก็ตามในส่วนงานประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ประกอบกิจการ ณ สนามบินในความรับผิดชอบของ AOT  ด้วยวิธีประมูลเสนอราคา กำหนดอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 – 31 มีนาคม 2574 ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของสัญญา จะเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการเข้าปรับปรุงพื้นที่ร้านค้าทั้งภายในอาคารผู้โดยสารหลัก และภายในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) นั้น
        เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลต่อแผนการเปิดใช้อาคาร SAT-1 ณ ทสภ.ซึ่งเดิมมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี 2563 แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ได้ส่งผลให้วัสดุอุปกรณ์ในงานก่อสร้างหลายรายการ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่มาทดสอบระบบไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ ทำให้ภาพรวมของการทดสอบการเตรียมความพร้อมการเปิดให้บริการ (Operation Readiness and Airport Transfer : ORAT) สำหรับอาคาร SAT-1 ณ ทสภ. ต้องเลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะสามารถทำการทดสอบระบบการปฏิบัติงานต่างๆ ร่วมกันแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2565
          ทั้งนี้ AOT ได้จัดทำคาดการณ์ปริมาณจราจรทางอากาศในอนาคตของสนามบินที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT ที่คาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปจนถึงระดับปกติของปี 2562 ในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่ง AOT ต้องพิจารณากำหนดการเปิดใช้บริการอาคาร SAT-1 ณ ทสภ. ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง รวมทั้งต้องพิจารณาค่าใช้จ่าย และค่าเสื่อมราคาที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดใช้งานอาคารดังกล่าว ให้สอดคล้องกับประมาณการรายได้ต่อไป
        จากสถานการณ์ข้างต้น จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ไม่สามารถดำเนินงานตามแผนภายใต้สัญญาเดิมได้ เนื่องจากแผนดำเนินงานของผู้ประกอบการต้องติดต่อประสานกับ supplier นำเข้าสินค้าวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศที่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน สินค้าแบรนด์เนมหลายรายการมีการผลิตและจำหน่ายตามฤดูกาล

        ความไม่ชัดเจนในการเปิดให้บริการของอาคาร SAT-1 ณ ทสภ. นั้น ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถดำเนินการประสานกับ supplier ผู้นำเข้าสินค้าได้ อีกทั้งการเข้าดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารและอาคาร SAT-1 ณ ทสภ. ผู้ประกอบการอาจเข้าปรับปรุงพื้นที่ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนั้น AOT จึงได้มีการเจรจากับผู้ประกอบการ เพื่อกำหนดวันเริ่มต้นอายุสัญญาให้สอดคล้องกับการเปิดใช้อาคาร SAT-1 ณ ทสภ. คือในเดือนเมษายน 2565

        ในส่วนของการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำนั้น นอกจากผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้การเดินทางลดลงแล้ว ประกอบกับประเทศไทยได้มีการจำกัดการเปิดน่านฟ้าเป็นการทั่วไป จึงทำให้ท่าอากาศยานของ AOT ไม่สามารถมีผู้โดยสารมาใช้บริการได้ตามความคาดหมาย AOT จึงยังคงผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing per Head) ตามที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เสนอมาในการประมูล และปรับขึ้นตามสัญญาเดิมหลังจากมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นสิ้นสุดลง ในเดือนมีนาคม 2565 โดยค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำโดยรวมจะแปรผันตามจำนวนผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ AOT พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นทางเลือกที่ให้ผลประโยชน์   ตอบแทนกับ AOT สูงที่สุด