รายงาน : โดย โต๊ะเศรษฐกิจภูมิภาค
เหมือนไม่ได้ตั้งใจและไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่ห้วงเวลาห่างกันเพียงเดือนเศษ 2 แม่ทัพจาก 2 ยักษ์ธุรกิจไทยต่างไปปรากฏกาย ณ พรมแดนตะวันตก
วันที่ 25 ธันวาคม 2562 นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่ม และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไปเยือนแม่สอด ประตูบกฝั่งตะวันตกของไทย บนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC)
ถัดมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภค ภัณฑ์ ผู้รับไม้ต่อจาก “ธนินท์ เจียรวนนท์” ให้ถือธงนำอาณาจักรธุรกิจซีพี นำคณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดระนอง ประตูการค้าทางทะเลด้านตะวันตก ตามยุทธศาสตร์ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) เพื่อไปเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศรอบอ่าวเบงกอล (BIMSTEC)
ยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังขับเคลื่อนผ่านแนวระเบียงเศรษฐกิจต่างๆ ชี้นำการขยับขยายอาณาจักรของยักษ์ใหญ่ธุรกิจไทยอย่างน่าจับตา เพราะยักษ์ธุรกิจไทยต่างขยับขยายไปปักธงลงทุนประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ เพื่อเป็นทั้งฐานการผลิตและตลาด ยิ่งหากยุทธศาสตร์เชื่อมเพื่อนบ้าน (Connectivity) ผนึกแน่นเท่าใด ยิ่งช่วยขยายตลาดและเชื่อมโยงฐานผลิตระหว่างกันเพิ่มขึ้นเพียงนั้น
การไปปรากฏกายที่แนวพรมแดนตะวันตกของ 2 บิ๊กธุรกิจของประเทศ แม้จะด้วยภารกิจอื่น แต่หากระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมไปยังเพื่อนบ้านได้รับการยกระดับและเปิดกว้างขึ้น ผลได้ย่อมเกิดกับแวดวงธุรกิจการลงทุนที่มีอยู่ไปด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางลงพื้นที่แม่สอดของนายฐาปน สิริวัฒนภักดี ซีอีโอค่ายไทยเบฟ ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ตามคำเชิญของผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ไปดูเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก (แม่สอด)
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า การมาดูงานครั้งนี้จังหวัดตากจะได้ประโยชน์ในการต่อ ยอด และผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ที่คณะทำงานประชารัฐจะได้นำเสนอรัฐบาลต่อไป โดยเฉพาะการสร้างรายได้ กระจายรายได้ในระดับฐานรากตามแนว ทางประชารัฐ
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ไปเยือนแม่สอด (25 ธันวาคม 2562)
หลังฟังบรรยายสรุปนายฐาปน ลงพื้นที่ดูเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก (แม่สอด-แม่ระมาด-พบพระ) สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 และความก้าวหน้าระบบคมนาคมขนส่ง อาทิ ถนน 4 เลนสายตาก-แม่สอด ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก(East West Economic Corridor- EWEC) เชื่อมฝั่งทะเลอันดามันในเมียนมา ผ่านไทยที่แม่สอด ไปเข้าสปป.ลาวที่มุกดาหาร ไปออกเวียดนาม
นอกจากทางถนนแล้วจะมีการพัฒนารถไฟทางคู่สายใหม่แนวตะวันออกตะวันตก แม่สอด-นครสวรรค์-บ้านไผ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา ส่วนเส้นทางบ้านไผ่-นครพนม ครม.อนุมัติก่อสร้างแล้ว เมื่อแล้วเสร็จจะเชื่อมโยงฐานผลิตและตลาดในกลุ่ม CLMV อย่างสำคัญ
ขณะที่การเดินทางมาเยือนระนองของนายสุภกิตเจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปลุกความหวังคนในพื้นที่ว่า เครือซีพีอาจลงโปรเจ็กต์ใหญ่ระดับพันล้านหรือหมื่นล้านในพื้นที่ จากยุทธศาสตร์จังหวัดที่เป็นประตูตะวันตกทางทะเล ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) ที่ครม.อนุมัติแผนงาน 116 โครงการ กรอบวงเงินปี 2562-2565 รวม 106,790.13 ล้านบาท
นายสุภกิต เจียรวนนท์ ขณะลงพื้นที่จังหวัดระนอง (6 กุมภาพันธ์ 2563)
โครงสร้างพื้นฐานสำคัญคือ ทางรถไฟสายใหม่แยกจากรถไฟทางคู่ที่ชุมพร วิ่งคู่ขนานไปกับถนนเพชรเกษม ถึงท่าเรือระนอง ระยะทาง 108 กม. มูลค่าโครงการ 45,844 ล้านบาท เพื่อใช้ท่าเรือระนองในการขนส่งสินค้า วัตถุดิบ และการเดินเรือเชื่อมโยงกลุ่มประเทศรอบอ่าวเบงกอล (กลุ่ม BIMSTEC) ย่านเอเชียใต้ สามารถไปถึงตะวัน ออกกลาง ยุโรป แอฟริกาได้
ในเบื้องต้นทางรถไฟสายใหม่นี้จะเชื่อมฐานผลิตหลักของไทยคือ พื้นที่อีอีซี สร้างทางเลือกเพิ่มในการขนส่งนอกจากท่าเรือแหลมฉบังแล้ว สินค้าที่จะไปเอเชียใต้อาจขนส่งทางรถไฟไปขึ้นท่าเรือระนอง เพื่อลดระยะเวลาการ ขนส่ง และรับวัตถุดิบจากต่างประเทศรวมถึงวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากพื้นที่ภาคใต้ ขนส่งไปป้อนฐานผลิตที่อีอีซี
ถัดไปหากรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวที่ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ และทางลงทุนเพิ่มจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ต่อขึ้นไปขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย สามารถไปเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวที่เวียงจันทน์ และขยายเส้นทางจากกรุงเทพฯลงใต้ ก็สามารถแยกไปท่าเรือระนองได้ เท่ากับระบบรางเชื่อมโยงจากจีน ลาว เข้าไทย นอกจากจะลงไปพื้นที่อีอีซีแล้ว สามารถต่อลงใต้ถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ และแยกไปออกระนอง ประตูสู่มหาสมุทรอินเดียได้อีกด้วย
โครงข่ายโลจิสติกส์ไทยที่เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านรอบข้าง รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่าย “เส้นทางสายไหมใหม่” ของจีน ที่โยงทั้งทางบกและทางทะเล ที่จะเปิดทางตลาดและฐานการผลิตตลอดแนวสายทางที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
หน้า 24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,552 วันที่ 27 - 29 กุมภาพันธ์ 2563