‘เชฟรอน’ทุ่ม35ล. หนุนทช.ทำปะการังเทียม นำร่อง 8 ขาแท่นเกาะพะงัน
ภายใต้พ.ร.บ. ปิโตรเลียม กำหนดให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมมีหน้าที่ในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาสัมปทาน ในส่วนของแท่นผลิตปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ ที่ทาง เชฟรอน เป็นผู้รับสัมปทานและจะสิ้นสุดอายุในปี 2565 นั้นมีจำนวนกว่า 280 แท่น ซึ่งการรื้อถอนจะมีอยู่ 3 แนวทาง ได้แก่ การรื้อถอนทั้งหมด โดยนำสิ่งติดตั้งทุกประเภทเหนือนํ้า และส่วนใต้นํ้าทะเลขึ้นบนฝั่ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการทำลาย หรือนำกลับมาใช้ใหม่ หรือไม่รื้อถอน เพื่อนำมาเป็นสถานีกลางทะเล เช่น สถานีวิจัย โรงแรมกลางทะเล สถานีสังเกตการณ์ สถานีจอดเรือรบ เป็นต้น หรือการรื้อแท่นส่วนบนนำไปกำจัด ส่วนแท่นส่วนล่างวางในทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้นํ้าหรือเป็นปะการังเทียม
3 ฝ่ายจับมือนำร่องโครงการ
จากการทดลองรื้อแท่นดังกล่าวของบริษัท เชฟรอนฯ ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการเลือกใช้แนวทางนำแท่นส่วนล่างวางในทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้นํ้าหรือเป็นปะการังเทียม ล่าสุดมีโครงการนำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจำนวน 8 ขาแท่นไปจัดวางเป็นปะการังเทียม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล บริเวณเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีความร่วมมือกับทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนำไปสู่การดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้
นายไพโรจน์ กวียานันท์ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อศึกษาการนำขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย มาใช้เป็นปะการังเทียม เนื่องด้วยลักษณะโครงสร้างที่ซับซ้อนทำจากเหล็กกล้าที่จัดสร้างเพื่อใช้งานในทะเล มีนํ้าหนักประมาณ 300-700 ตัน มีความมั่นคงแข็งแรง และไม่มีส่วนใดสัมผัสปิโตรเลียมมาก่อน มีพื้นที่ลงเกาะสำหรับสิ่งมีชีวิต มีความเหมาะสมที่จะเป็นที่อยู่อาศัยและที่หลบภัยของสิ่งมีชีวิต
เชฟรอนสนับสนุนงบ 34.8 ล้าน
สำหรับการดำเนินโครงการนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยในระยะแรก จะใช้เวลา 2 ปี เป็นการศึกษาทางด้านชีววิทยา นิเวศวิทยา การติดตามผลกระทบจากการวางปะการังเทียม การประกาศพื้นที่คุ้มครองเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืนรวมถึงการให้ความรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่จะช่วยกันรักษาพื้นที่คุ้มครองนี้ ส่วนระยะที่ 2 จะใช้เวลา 4 ปี เป็นการติดตามต่อเนื่องจากระยะแรกเพื่อเก็บข้อมูลสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาอยู่อาศัยในแนวปะการัง และการเข้าใช้ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้วงเงินสนับสนุนจากบริษัท เชฟรอนฯทั้งสิ้น 34.8 ล้านบาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการวางแผน และการเคลื่อนย้ายขาแท่นหลุมผลิตเพื่อนำไปทำปะการังเทียม)
ทช.ควบคุมการทำงาน
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า ทางทช.จะศึกษา ติดตาม และตรวจสอบสภาพแวดล้อมด้านกายภาพและนิเวศวิทยาของพื้นที่ในทะเล และประโยชน์ที่ได้รับจากแหล่งปะการังเทียม จากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้ว ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ของประเทศ ซึ่งจะกำหนดขอบเขตความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย โดยทช. จะเป็นผู้ดำเนินงาน กำกับการดำเนินงาน ติดตามประเมินและดูแลพื้นที่โครงการ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขออนุญาตจัดวางปะการังเทียมตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ส่วนเชฟรอน จะเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับ ทช. พร้อมทั้งมอบขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้วจำนวน 8 ขาแท่น ให้แก่ ทช. เพื่อนำไปใช้เป็นวัสดุในการจัดทำเป็นปะการังเทียม รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านการจัดวางและงบประมาณของโครงการ สำหรับศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการและสนับสนุนงานด้านการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการทั้งในและต่างประเทศ
จุฬาฯ ศึกษาติดตามงาน
รศ.ดร.ทวีวงศ์ ศรีบุรี กรรมการผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจัดวางปะการังเทียมจากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้ว บริเวณเกาะพะงัน ศูนย์บริการวิชาการจุฬาฯ จะศึกษา ติดตาม และตรวจสอบสภาพแวดล้อมด้านกายภาพและนิเวศวิทยาของพื้นที่ในทะเล และประโยชน์ที่ได้รับจากแหล่งปะการังเทียม รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผลจากการศึกษานี้จะมีส่วนช่วยให้หน่วยราชการและหน่วยงานวิชาการ ได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ในการวางแผนงานและการจัดการปะการังเทียม ไม่เพียงเฉพาะจากโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่อาจรวมถึงการจัดการในภาพใหญ่ระดับประเทศด้วย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,468 วันที่ 9-11 พฤษภาคม 2562
