ก้าวใหม่สมาคมชาวนา เปิดตลาดประมูลข้าวเปลือกออนไลน์ ชวนโรงสีโดดแจมร่วมค้าข้าว เผย 4 ครั้งตอบโจทย์ชาวนากำไรมากกว่าค้าข้าวเป็น "รู้ตลาด" ปรับปรุงระบบผลิต ยันระบบตลาด วิน-วิน ไม่ย้อมแมวขายเป็นสินค้าคุณภาพ
นายณรงค์ คงมาก กรรมการสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” จากที่สมาคมได้เดินทางไปพบกับสมาชิกสมาคมโรงสีข้าวไทย ไม่น้อยกว่า 30 โรงสี ได้มีการหารือในการประชุมวาระต่างๆ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งในจังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น ชัยนาท สิงห์บุรี นครพนม อำนาจเจริญ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ เป็นต้น ซึ่งเป็นการเริ่มนำเสนอแนวคิดแนวทางใหม่ที่ทางสมาคมโรงสีข้าวไทยได้รับทราบและให้ข้อเสนอแนะ คำแนะนำ รวมทั้งสนับสนุนในการนำข้าวไปตรวจวิเคราะห์และเข้าร่วมลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมในการประมูลข้าวเปลือกออนไลน์
“จากการนำร่องจัดประมูลข้าวเปลือกออนไลน์ 4 ครั้ง คือ วันที่ 23 มกราคม 2562 จังหวัดมหาสารคาม, วันที่ 29 มกราคม 2562 จังหวัดขอนแก่น, วันที่ 26 มีนาคม 2562 จังหวัดชัยภูมิ และ 28 มีนาคม 2562 จัดการประมูลข้าวเปลือกสดล่วงหน้าการเก็บเกี่ยว ครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งหมด 4 ครั้งในการจัดการประมูลข้าวเปลือกที่ผ่านมานั้น”
สรุปผลประโยชน์ที่โรงสีได้รับจากกระบวนการจัดการประมูลข้าวเปลือกออนไลน์ ดังต่อไปนี้ กล่าวคือ โรงสีส่วนหนึ่งเห็นว่า ระบบตลาดดิจิตอลและระบบการสื่อสารทางการตลาดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล 4.0 ระบบตลาดประมูลออนไลน์ เกิดขึ้นได้ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ โลกเปลี่ยนไปแล้ว ระบบการตลาดข้าวเปลือก ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
นอกจากนี้ยังได้เห็นกระบวนการทำตลาดประมูลของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย โดยบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคมฯปากพนัง จำกัด และ บริษัทเทรดคอนเน็กซ์ จำกัด พันธมิตรของสมาคมฯ นั้น ใช้โปรแกรมแอพพลิเคชั่น ConnexMarket มีระบบการทำงานสากลได้มาตรฐาน ไม่ยุ่งยากในการใช้ ครบระบบปฏิบัติการซื้อขาย ทั้งการประมูล การตกลงราคา และการจับคู่
นายณรงค์ กล่าวว่า ก่อนการเปิดประมูลข้าวเปลือกทั้งข้าวเปลือกแห้งแห้งและข้าวเปลือกสด ทางทีมงานสมาคมฯ ได้นำข้าวตัวแทนข้าวจริง ไปตรวจสอบคุณภาพโดยสมาชิกสมาคมโรงสีข้าวไทย ที่ได้รับการยอมรับจากเครือข่ายโรงสีด้วยกัน ตามรายการสำคัญ ที่โรงสีใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อข้าวเปลือก เช่น ข้าวกล้องรวม ต้นข้าวกล้อง ข้าวขาวรวม ต้นข้าวขาว ความชื้น จำนวนเม็ดแดงปน การต้ม การย้อมสี เป็นต้น ส่วนข้าวเปลือกสด ในการประมูลครั้งแรก มีการเก็บตัวอย่างข้าวเปลือกสดจากนาข้าวก่อนการเก็บเกี่ยวไปตรวจ 1)ความชื้น และ 2)เปอร์เซ็นต์กรัมข้าวกล้องรวมจากข้าวสด และแบ่งเกรด และนำผลรายงานการตรวจคุณภาพข้าวเปลือกทั้งสดและแห้ง ส่งให้โรงสีกว่า 20 โรงพิจารณา รายงานการตรวจคุณภาพข้าวดังกล่าว ข้าวของชาวนาบางรายที่มีความเสี่ยงจากข้าวพันธุ์ปนมากเกินไป จะไม่ให้เข้ารับการประมูล ทำให้โรงสีมี “ตลาดประมูล” ช่วยคัดกรองคุณภาพให้ก่อน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สำหรับการประมูลผ่านระบบออนไลน์นี้ ส่งผลให้โรงสีทั่วประเทศ สามารถเข้าร่วมการประมูลได้เท่าเทียมกัน แม้แต่อยู่นอกพื้นที่ไม่เคยเข้าไปซื้อข้าวในพื้นที่นั้นๆมาก่อน เปิดโอกาสให้โรงสีมีการแข่งขันอย่างเสรีและเท่าเทียมกัน ถ้าสามารถรับค่าขนส่งจากจุดส่งมอบมาที่โรงสีของตนเองได้ เช่นการประมูลขั้นต่ำคือ 30 ตัน ( หรืออาจต่ำกว่านั้น เช่น 6 ตัน 15 ตัน ) ส่งผลให้โรงสีขนาดกลางและใหญ่สามารถเข้าร่วมประประมูลได้ง่าย สะดวก เป็นต้น
หลังจากการประมูลแล้ว ในวันส่งมอบข้าว ผู้ชนะการประมูล สามารถนำเครื่องมือไปตรวจวัดคุณภาพ ด้วยตนเองหรือประสานงานกับโรงสีใกล้เคียงจุดส่งมอบ ไปตรวจคุณภาพ “ข้าวที่จะซื้อขายจริง” อีกครั้ง และการตรวจข้าวในวันส่งมอบ จะเป็นการตรวจและการจัดเกรดคุณภาพข้าวสำคัญที่สุด ใช้ในการซื้อขาย ชำระเงิน จริง เป็นธรรมกับโรงสีผู้ซื้อ เกรดข้าวที่เคยตกลงกันจากการใช้รายงานผลที่ส่งมาก่อนวันประมูล อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ในวันส่งมอบข้าวจริง
“ฝ่ายการตลาดของสมาคมฯ ฝ่ายผู้ขาย และชาวนา ต้องรับผิดชอบค่าขนส่ง จ่ายชดเชยให้โรงสีในกรณีที่ ชาวนาและกลุ่มผู้ขายไม่สามารถส่งมอบข้าวตามปริมาณ ( บวก/ลบ ร้อยละ 15 จากปริมาณข้าวที่ประมาณการในวันประมูล ) ในวันเดินทางไปรับมอบข้าวจริง ได้ เพื่อลดความเสี่ยงการออกค่าใช้จ่ายค่าขนส่งของโรงสี ( ระเบียบข้อนี้ จะปรับใช้ในการประมูลครั้งต่อไป และขึ้นกับการเจรจาตกลงกับโรงสีเป็นคราวๆไป)”
อย่างไรก็สุดท้ายอยากจะให้โรงสีมีความมั่นใจในการเข้าร่วมกระบวนการนี้ เพราะทางสมาคมฯ และเครือข่าย มีระบบการตรวจสอบคุณภาพข้าว การกำกับการส่งมอบ การชำระเงิน ที่ชัดเจนเชื่อมั่นได้ ( โรงสีต้องจ่ายค่าข้าวและ ค่าบริการตันละ 300 บาท ให้ครบทั้งหมดให้กลุ่มและชาวนา ก่อนรถจะออกจากจุดส่งมอบ )