“ไทยสร้างไทย”เสนอรัฐประกาศยุทธศาสตร์สยบโควิด-19 จบปี 2564

20 เม.ย. 2564 | 10:24 น.

“ไทยสร้างไทย”เสนอรัฐเร่งประกาศยุทธศาสตร์สยบโควิด-19 ให้จบปี 64 จี้ทบทวนบริหารแผนวัคซีนใหม่ ต้องฉีดคนไทยให้ได้อย่างน้อย 50 ล้านคน หั่นงบซื้ออาวุธ-เรือดำน้ำมาซื้แอวัคซีนเพิ่ม 40 ล้านโดส 

วันนี้ (20 เม.ย.64) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งประกาศแผน “ยุทธการสยบ COVID ให้จบในปี 64” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งเรื่องสุขภาพ และเศรษฐกิจ เร่งเปิดประเทศอย่างปลอดภัยภายในสิ้นปีนี้เพื่อให้คนไทยกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข 

โดยเสนอ 3 แนวทางคือ

1. บริหารแผนวัคซีนใหม่ ให้คนไทยได้วัคซีนเพียงพอและเร็วทันสร้างภูมิคุ้มกัน ชนะโควิดเร็วที่สุด

2.เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจและรักษา เพื่อรักษาชีวิตคนไทยให้สูญเสียน้อยที่สุด

3. เร่งออกมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ให้คนไทยตายเพราะอด

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจว่าโควิดจะจบเมื่อไหร่ วัคซีนจะมาเมื่อไหร่ จะเปิดทำการค้าขายได้เมื่อไหร่ คนไทยกำลังสิ้นหวัง มองไม่เห็นอนาคตของตนเองและยังไม่ได้คำตอบจากผู้นำ ในขณะที่ผู้นำทั่วโลก กำลังเร่งกางแผนสยบโควิดเร่งฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อเปิดประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจ อย่างอิสราเอล เป็นต้นหันกลับมามองที่ประเทศไทยเราฉีดวัคซีนได้น้อยมาก เพียง 0.1% เท่านั้น ครองแชมป์รองบ๊วยในอาเซียน
วัคซีนเป็นหัวใจสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่น เพราะไม่เพียงสกัดการระบาดของโควิดแต่วัคซีนคือเครื่องปั๊มหัวใจของเศรษฐกิจไทยอีกด้วยจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้อย่างจริงจัง 

บริหารจัดการแผนวัคซีนใหม่ทั้งหมด ฉีดให้มากพอ ตั้งเป้าฉีดให้คนไทยอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรเพื่อให้เกิด ภูมิคุ้มกันหมู่ เดิมรัฐบาล สั่งวัคซีนมาแค่ 63 ล้านโดส ฉีดได้เพียง 31.5 ล้านคน ยังไม่ถึงครึ่งของคนไทยเลย ดังนั้นต้องเร่งสั่งซื้อเพิ่มจากทุกยี่ห้อ อีก 40 ล้านโดส ซึ่งใช้งบไม่เกิน 40,000 ล้านบาท 
โดยเสนอให้ตัดจากงบประจำปี 64 ที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนทั้งหมด ทั้งงบซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ สร้างตึก ฯลฯ  ถ้ายังไม่พอให้ขอความร่วมมือไปยังท้องถิ่น เพื่อขอนำเงินสะสม มาสมทบ ซึ่งท้องถิ่นเขามาพบดิฉัน และบอกว่าเขายินดีสนับสนุนแนวคิดดิฉันเต็มที่ และเปิดโอกาสให้โรวพยาบาลเอกชน มาร่วมซื้อวัคซีนเพื่อช่วยกันฉีดให้ประชาชนได้มากขึ้น

ถ้ามองอย่างนักบริหารจะเห็นว่า การซื้อวัคซีนอีก 40 ล้านโดส ใช้งบไม่เกิน 40,000 ล้านบาท คุ้มค่ามหาศาลต่อชีวิต และเศรษฐกิจที่พังเพียงไตรมาสเดียวกว่า4.5 แสนล้าน (จากม.หอการค้า) ถ้าถึงสิ้นปี ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะสูงกว่า 1.5 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน นอกจากนั้น การฉีดให้เร็ว ตั้งเป้าเวลาฉีดวัคซีน ให้จบภายในปี64 คือ 7 เดือน นับจากมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ตั้งเป้า 1 เดือนต้องฉีดให้ได้15ล้านโดส 1 วันต้องฉีดให้ได้ 5 แสนโดส โดยมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และท้องถิ่น ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นในศักยภาพของทั้ง 3 หน่วยงาน ว่าจะช่วยกระจายการฉีดวัคซีน ได้ทันเวลา 7 เดือนอย่างแน่นอน
 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ให้เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจและรักษา เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากว่าปัจจุบัน เช่นรพ.สนาม ที่ส่วนใหญ่สภาพไม่เหมาะสมต่อการพักรักษา รัฐควรเช่าโรงแรมที่มีห้องเหลืออยู่ทุกจังหวัดแทน

รวมทั้งรัฐต้องกระจายงบประมาณและอำนาจให้ทุกโรงพยาบาลแทนการรวมไว้ที่ส่วนกลาง ที่สำคัญต้องเร่งจ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะบุคคลเหล่านี้คือผู้เสียสละ งานล้นมือ ไม่มีเวลาหยุด และยังต้องเสี่ยงต่อการติดโรคสูง  “เตียงเพิ่มได้ แต่แพทย์ พยาบาลเพิ่มไม่ได้” จึงควรดูแลและให้กำลังใจ 
นอกจากนั้น ต้องเร่งออกมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ระยะเร่งด่วน คือการเยียวยาคนตกงาน ทั้งพ่อค้า-แม่ขายรายย่อย อาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน คนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน , เร่งช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไม่ให้เจ๊ง

SMEs มีทั้งหมดกว่า 3 ล้านราย  จ้างงานถึง 13 ล้านคน จึงต้องช่วยพยุงไม่ให้ SMEs ปิดตัวหรือเลิกจ้างพนักงาน โดยช่วยจ่ายค่าจ้างบางส่วนเพื่อ รักษาตำแหน่งงานไว้ ไม่ให้คนตกงานและSMEs อยู่รอด 

รัฐบาลต้องวาง ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย หลังCOVID โดยสนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งแก้กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดธุรกิจดาวรุ่งหลังโควิดให้ได้ อย่างเช่นศูนย์กลางอาหารปลอดภัยของโลก , ศูนย์กลางการท่องเที่ยว และบริการด้านสุขภาพ , ทำให้ไทยกลายเป็นออฟฟิศของคนเก่ง และเศรษฐีทั่วโลก ที่จะมา WORK FROM THAILAND เช่นพวก DIGITAL NOMADS 

“ทั้งหมดที่เสนอด้วยความปรารถนาดี หวังให้รัฐบาลแก้ปัญหาของประชาชนได้สำเร็จ หวังว่าผู้นำจะช่วยรับฟัง และนำไปดำเนินการบ้าง” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ