"สุวัจน์”ยันEEC ดึงศก.ตะวันออก ทะยานในอาเซียน

29 พ.ย. 2563 | 04:41 น.

"สุวัจน์" มองโอกาสเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ของภาคตะวันออกจะทะยานไกลในอาเซียน เพราะมี EEC รถไฟความเร็วสูง สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

 

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษในงานการแข่งขันมวย THAI FIGHT 2020 ชิงถ้วยพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ปลวกแดง จังหวัดระยอง ถึงโอกาสการลงทุนและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกหลังโควิด ว่าเป็นโอกาสที่ดีของการพัฒนาเศรษฐกิจ การลงทุนและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกของประเทศไทย เราต้องนึกถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในสมัยที่พลเอกเปรม เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนคงจำภาพที่เราค้นพบแหล่งแก๊สในอ่าวไทย และพลเอกเปรม หมุนวาล์วแก๊สแล้วมีเปลวเพลิงเกิดขึ้นจากแก๊สเราก็บอกว่า โชติช่วงชัชวาล ผมว่าวันนั้น ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาภาคตะวันออกอย่างแท้จริง 

 

หลังจากนั้น รัฐบาลพลเอกเปรม ซึ่งมีพลเอกชาติชาย เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ก็ได้วางพื้นฐานในการสร้างโครงการที่เรียกว่า "อีสเทิร์นซีบอร์ด" หรือโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งได้ทำกันมาหลายปี จนกระทั่งวันนี้จะเห็นได้เลยว่า โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกในอดีตนั้น ได้มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมีการขยายถนน ระบบน้ำประปา ระบบโทรศัพท์ ท่าเรือ แหลมฉบัง นิคมมาบตาพุด นิคมของภาคเอกชน โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี ต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกในอดีต มาจนกระทั่งวันนี้ เป็นพื้นที่ๆ สร้าง GDP ให้กับประเทศ เป็นพื้นที่ดึงดูดการลงทุน จากต่างประเทศ เป็นพื้นที่ในการผลิตสินค้าและส่งออกไปขายต่างประเทศมากที่สุด มีสัดส่วนและนัยสำคัญ ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

"สุวัจน์”ยันEEC ดึงศก.ตะวันออก ทะยานในอาเซียน

ขณะเดียวกันเมื่อมีนักลงทุนมามากขึ้น ก็เลยก่อให้เกิดผลดีต่อเมืองท่องเที่ยว ก่อให้เกิดผลดีต่อเมืองพัทยา เมืองบางแสน และก่อผลดีต่อพื้นที่แถวระยองและตราดร่วมกันไปด้วย แต่ว่าหลังจากที่เราประสบความสำเร็จมาแล้วต้องยอมรับว่าการพัฒนาของเราบางทีเหมือนกับมันอิ่มตัวหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่พัฒนาค่อยข้างที่จะเต็ม และต้องอย่าลืมว่าชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเป็นการพัฒนาที่ควบคู่กันการลงทุนระหว่างอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว ฉะนั้น อันนี้ต้องระวัง เพราะว่าชิดกันก็ไม่ดี ต้องมีระยะห่างที่เหมาะสม มี Social Distant ระหว่างการลงทุนด้านการท่องเที่ยว และการลงทุนทางภาคอุตสาหกรรมประกอบกับว่า พื้นที่เต็มและระยะหลังกระแสของโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนก็คือ การเจริญเติบโตที่ยั่งยืน ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การที่วิถีชีวิตของชุมชนก็ยังสามารถอยู่ได้ ด้วยกับการพัฒนา ฉะนั้นอุตสาหกรรมระยะหลังต้องไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เมื่อเราคิดดูว่าพื้นที่ก็เต็ม และเราก็ต้องการที่สร้างให้เป็นประเทศที่ทันสมัย  พื้นฐานการลงทุนทางภาคตะวันออกก็เปลี่ยนแปลงไป และนี้ก็เป็นที่มาของ  EEC 

 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า  EEC คือโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ภาค 2 เหมือนภาค 1 จบประสบความสำเร็จแล้ว และภาค 1 ก็เต็มด้วยพื้นที่ และขณะนี้ก็มีการสร้างภาค 2 ซึ่งจะมีพื้นฐานแตกต่างจาก ภาค 1 ตรงที่ว่าเราจะมีพื้นที่ใหม่เกิดขึ้นจะเน้นเรื่องอุตสาหกรรมที่ทันสมัย อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี อุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขณะเดียวกันก็จะมีการ Branding ให้การพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่ได้กับชุมชน มีการเจริญเติบโตของชุมชน และขยายชุมชน ขยายเมือง ขยายผังเมือง รวมทั้งขยายพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ๆ เกิดขึ้น 

 

"ผมคิดว่าโครงการ EEC เป็นโครงการที่ดีมาก ทำให้ประเทศไทย มีโฟกัส นักลงทุนมองออกว่าถ้ามาประเทศไทยแล้วจะมาที่ไหน เหมือนเราจะมีอะไรที่ Attraction  ที่จะดึงดูดนักลงทุน เพียงแต่ว่าจังหวะที่ผ่านมา รัฐบาลได้วางพื้นฐานไว้แล้ว มีการจัดตั้งองค์กร มีการออกกฎหมายรองรับ ที่สำคัญที่สุด มีอะไรที่เป็นรูปธรรมก็คือ มีการประมูล มีการลงนามในสัญญา โครงการที่มีนัยยะสำคัญต่อ EEC ก็คือ โครงการรถไฟความเร็วสูง จากกรุงเทพ ที่เชื่อมโยงทั้ง 3 สนามบินเลย ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และเชื่อมมาถึงอู่ตะเภา ร่วมทั้งการขยายและพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นสนามบินนานาชาติ ควบคู่กับสนามบินสุวรรณภูมิ และการขยายมอเตอร์เวย์จากกรุงเทพ มาถึงระยอง มาอีกหลายๆ พื้นที่ ดั้งนั้นโครงการต่างๆ เหมือนกับเป็น infrastructure ที่รองรับการลงทุนของ EEC และเป็น infrastructure ที่ทำให้เกิดความมั่นใจกับนักลงทุนว่าประเทศไทยเอาจริง EEC เกิดแน่ และเป็น infrastructure ที่จะขยายการท่องเที่ยวด้วย เพราะพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เดิมทีการท่องเที่ยวจะบูมมาถึงพัทยา เหมือนกับว่าพัทยาจะเป็นจุดบูมที่สุดก็จะเริ่มล้นมาระยอง ตราด จันทบุรี และถ้า EEC มันไม่ใช่แค่พัทยาเท่านั้น เนื่องจาก infrastructure ขยายเลยพัทยาออกมาสนามบินนานาชาติที่อู่ตะเภา สัตหีบ และรถไฟความเร็วสูงก็มาถึงระยอง

 

ฉะนั้น จะเห็นชัดเจนว่า ต่อไปเรื่องการท่องเที่ยวจะมีการขยายตัวไม่ใช่มาแค่พัทยา แต่จะมาถึงระยอง จันทบุรี ตราด นี้คือ พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และจะเห็นชัดเจนว่า โครงการ EEC ก็จะเป็นโครงการส่งเสริมในเรื่องของการลงทุน ของภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมการขยายตัวของอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคนี้เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าจังหวะไม่ดีอยู่นิดหนึ่ง พอเราเริ่มโครงการเริ่มประชาสัมพันธ์โครงการไปแล้ว ก็เกิดเรื่องโควิด ถ้าเกิดประเมินสถานการณ์ ขณะนี้ คิดว่าปลายปี หรือต้นปี เรื่องของการฉีดวัคซีน ก็เริ่มน่าจะมีการใช้ เพราะตอนนี้หลายๆ ประเทศทั่วโลกก็ได้ประกาศพร้อมถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเริ่มฉีดกันแล้วถ้าได้ฉีดกันเมื่อไร ความกังวลเรื่องโควิดก็จะจบไป ดังนั้นถ้าเราได้ฉีดวัคซีนโควิด เราก็ไปไหน มาไหนได้แล้วก็จะเริ่มเดินทางท่องเที่ยวและลงทุนกลับมาเหมือนเดิม โลกจะกลับมาเป็นโลกใบเก่า เพียงแต่ว่าวิถีชีวิตความระมัดระวังก็จะมีมากขึ้น เหมือนกับนิวนอร์มอล แต่หมายความว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิม ลงทุนเหมือนเดิม ท่องเที่ยวเหมือนเดิม เท่าที่ฟังจากนักวิชาการโลก นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายบอกว่า เศรษฐกิจของโลก คาดการณ์ว่ากลางปีหน้าจะเริ่มรีสตาร์ท และขยับตัวกันใหม่ รวมทั้งเศรษฐกิจประเทศไทยเพราะเราไปผูกกับเศรษฐกิจโลก ของเราสำคัญการลงทุน การส่งออก และการท่องเที่ยว" นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า

 

"เป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องจับมือกัน ช่วยกัน  มีความรัก ความสามัคคี  เสียสละ คือ ตอนนี้นักท่องเที่ยว 40 ล้านคนหายไปหมดเลย ผู้ประกอบการก็จะเจ๋งกันหมด คนจะตกงานเป็นล้านๆ คน วิธีการที่จะช่วยพวกเรากันเอง คือคนไทย 65 ล้านคนยังอยู่  คนไทยคนไหนพอที่จะมีฐานะออกมาเที่ยว ออกมาใช้จ่าย แทนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เศรษฐกิจต่างจังหวัด เศรษฐกิจชนบท พ่อค้า แม่ขาย ผู้ประกอบการโอทอปก็จะอยู่ได้ เรียกว่า ไทยเที่ยวไทย ไทยช้อปของไทย ออกมาแทน 40 ล้านคนที่หายไป"
 

 

นายสุวัจน์ บอกว่าวันนี้โควิดยังไม่จบ เราต้องพยุงเศรษฐกิจอย่าเพิ่งจมน้ำตาย หาข่อนไม้ให้พี่น้องประชาชนได้ประทังไปก่อน ถ้าเราช่วยกันเสียสละ ใครมีเงินก็ลงทุนในประเทศไทย ใครพอมีเงินออกมาจับจ่าย ใช้สอย ใครพอมีเงินก็ออกมาเที่ยว เพื่อดึงเวลา จนถึงกลางปีหน้า เพราะกลางปีหน้าเมื่อทุกอย่างกลับมารีสตาร์ท นักท่องเที่ยวก็จะกลับมา โดยเฉพาะประเทศไทย เพราะประเทศไทยขณะนี้เป็นประเทศที่ทุกคนรอคอยว่าจบเมื่อไรจะมาก่อนเพราะเมืองไทยเรามีเสน่ห์ มีสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน โอทอป ทุกคนพูดเหมือนกันหมด มาเมืองไทยไม่มีโควิด มาเมืองไทยไม่มีโรคระบาด เมืองไทยมีสาธารณสุขดี  คนไทยมีวินัย ใส่หน้ากาก ล้างมือ

 

 ฉะนั้น วิกฤตก็คือโอกาส อีกครั้งหนึ่งเราต้องอย่าให้โอกาสหลุดลอยมือ วันนี้ช่วยกันประคับประคองเศรษฐกิจ สร้างความรัก ความสามัคคี รักษาบรรยากาศของประเทศ ให้เกิดความเชื่อมั่นเหมือนกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังมีการขยายตัว มีการสร้างมอเตอร์เวย์ สร้างทางด่วน สร้างรถไฟฟ้า สร้างสนามบิน อันนี้คือโครงสร้างพื้นฐาน ที่สร้างความมั่นใจ แต่ความเรียบร้อยของสังคมไทยก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความมั่นใจ ผมคิดว่าถ้าคนไทย ร่วมไม้  ร่วมมือกัน จบโควิดไม่ต้องห่วงเลยเศรษฐกิจไทยจะกลับมารีสตาร์ท กลับมายิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะมันจะเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ให้ขยายจากพัทยาไป ระยอง จันทบุรี ตราด เกาะช้าง เพราะเมืองไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่แล้ว อันนี้เราก็ต้องช่วยกัน อย่างวันนี้ เรามาจัดมวยไทยไฟท์ ปลวกแดง  มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเอาความสุขมามอบให้กับคนไทย มาให้กำลังใจและมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้มีพ่อค้า แม่ขาย เป็นร้อยๆ คน คนมาเป็นพันๆคน ก็มามีความสุข มารักเมืองไทย เห็นมวยไทย แล้วนึกถึงชาติไทย นึกถึงประวัติศาสตร์ มีความห่วงแหน ฉะนั้น มาดูมวยไทยไฟท์ รู้สึกรักชาติบ้านเมือง รักมวยไทย และมีความสุข และทุกคนก็ออกมาเที่ยวใช้จ่าย นี้ก็กระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยด้วย ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมกีฬา ที่มาสนับสนุนเรื่องการเชื่อมั่นและการลงทุน และการท่องเที่ยว 

 

"ผมอยากให้กำลังใจพี่น้องประชาชน อยากให้พวกเราอย่าท้อถอย จับมือกัน สู้กัน และอะไรที่เราเสียสละให้กัน ช่วยกัน และช่วยกันดูแลประเทศชาติให้เรียบร้อย รอวันที่เราจะกลับมายิ่งใหญ่หลังโควิด" นายสุวัจน์ กล่าว