บุกส่งออกตลาดตุรกีหลังโควิค-19

18 ก.ค. 2563 | 04:21 น.

       DITP ชี้ช่องทำเงินตลาดตุรกี วัตถุดิบไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งเครื่องจักร เครื่องจักรไฟฟ้า อัญมณี พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ และยางพารา หลังโควิด-19 และตุรกีต้องการนำไปใช้ผลิตเพื่อส่งออก ชี้ไทยยังสามารถใช้ตุรกีเป็นฐานเจาะกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและเป็นฐานการค้า การลงทุนเจาะเอเชียและยุโรป

 นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตุรกีเป็นประเทศที่เป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อกระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้ตุรกีมีความต้องการนำเข้าสินค้าหมวดวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต โดยจากสถิติการนำเข้าสินค้าของตุรกี พบว่า มีการนำเข้าเครื่องจักร เครื่องจักรไฟฟ้า อัญมณี พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ และยางพารา เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต จึงถือเป็นโอกาสของสินค้าในหมวดดังกล่าวของไทยที่สามารถนำเข้ามาสู่ภาคการผลิตของตุรกีได้

บุกส่งออกตลาดตุรกีหลังโควิค-19

           ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสถิติการค้า พบว่า ในช่วงปี 2560–2562 ตุรกีมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักร ยางพารา เครื่องจักรไฟฟ้า อัญมณี ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง โพลีเมอร์ เส้นใยและเส้นใยประดิษฐ์ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 70 ของสินค้าที่นำเข้าจากไทยเป็นสินค้าหมวดวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกของตุรกี

ในช่วงปี 2560-2562 ตุรกีมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด มีมูลค่าการส่งออกรวม 157,115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 167,876 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 180,795 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องจักรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งตลาดส่งออกหลักของตุรกี คือ เยอรมนี อิตาลี สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับอามิเรสต์ อิรัก สหรัฐฯ อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และอิหร่าน และในช่วง 5 เดือนปี 2563 (ม.ค.-พ.ค.) มีการส่งออก 61,554 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 19.74 เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการปิดพรมแดน ระงับเที่ยวบิน และหยุดการผลิต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยคาดว่าหลังตุรกีคลายล็อกดาวน์ และกลับมาผลิต ก็จะทำให้มีความต้องการสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบเพิ่มขึ้น

          ด้าน นายพูลศักดิ์ คุณอุดม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี กล่าวว่า ขณะนี้ตุรกีให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการขนส่ง มีนโยบายพัฒนาโครงการ Peace Highway ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างตุรกี บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาและเซอร์เบีย เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุน เช่น การเกษตร การผลิต โรงแรม ท่องเที่ยว และพลังงาน จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะใช้เส้นทางดังกล่าวขยายการค้าและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศมาชิกยุโรปตะวันออก

      บุกส่งออกตลาดตุรกีหลังโควิค-19

     นอกจากนี้ ตุรกียังมีเขตากรค้าเสรี 7 แห่ง ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าวัตถุดิบบางชนิดได้ในอัตราภาษีที่ต่ำลงหรือไม่เสียภาษี และปัจจุบันมีการลงทุนจากสหภาพยุโรปเป็นจำนวนมาก แต่ไทยยังเข้าไปลงทุนน้อย จึงยังมีโอกาส และตุรกียังเกี่ยวเนื่องกับโครงการ Belt and Road Initiative ของจีน ทำให้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง 3 ภูมิภาค และเป็นเส้นทางโลจิสติกส์สำคัญ ซึ่งผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้าม ที่สำคัญ ควรจะเตรียมความพร้อมจากการทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่หากบรรลุผล จะเป็นกลไกทำให้การค้า การลงทุนระหว่างไทย-ตุรกี เพิ่มขึ้น