พลิกวิกฤติไวรัสโคโรนา ใช้FTAเพิ่มส่งออก

30 มี.ค. 2563 | 04:14 น.

พาณิชย์ แนะผู้ประกอบการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เร่งใช้เอฟทีเอเพิ่มส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนในหลายประเทศทั่วโลกต้องการซื้อสินค้าอาหารที่เก็บไว้ได้นานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาหารแห้ง และอาหารกระป๋อง จึงเป็นโอกาสที่ไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่มีศักยภาพในการผลิตสูง และเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน จะสามารถเพิ่มการผลิตและใช้แต้มต่อจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ขยายการส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปตามความต้องการของตลาดโลกได้ ซึ่งปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอ 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ โดยมีประเทศคู่เอฟทีเอ 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรกับสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปทุกรายการจากไทยแล้ว สำหรับอีก 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ

พลิกวิกฤติไวรัสโคโรนา  ใช้FTAเพิ่มส่งออก

“ที่ผ่านมา ความตกลงเอฟทีเอช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปทั่วโลกเป็นมูลค่าสูงถึง 3,775 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว227% เมื่อเทียบกับก่อนที่ไทยจะมีความตกลงการค้าเสรีฉบับแรกกับอาเซียน ในปี 2535 ซึ่งประเทศคู่ค้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อาเซียน เปรู และเกาหลีใต้ ตามลำดับ สำหรับสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ปลาทูน่ากระป๋อง สัดส่วน57 %รองลงมาคือ กุ้งกระป๋องและแปรรูป สัดส่วน 19% ปลาแปรรูป สัดส่วน 9% และปลาซาร์ดีนกระป๋อง สัดส่วน 4%

ทั้งนี้ ในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ พบว่า มูลค่ารวม 1,407 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 37% ของการส่งออกทั้งหมด และเมื่อนับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเอมีผลใช้บังคับ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวขึ้นทุกตลาด โดยจีนขยายตัวสูงสุดถึง 4,457% รองลงมา คือ เปรูขยายตัว 2,088% อาเซียน ขยายตัว 613% เกาหลีใต้ ขยายตัว246% และออสเตรเลีย ขยายตัว114 %ซึ่งสอดคล้องกับสถิติที่พบว่าสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกด้วยเอฟทีเอเป็นอันดับต้น

“แม้ความต้องการบริโภคอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่เพิ่มขึ้น จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจเป็นความต้องการระยะสั้น แต่ตลาดสินค้าดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรโลกมีความต้องการบริโภคสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประมงของไทยจึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า และวิธีการทำประมงให้สอดรับกับกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลที่สำคัญของโลก” นางอรมน กล่าว