เศรษฐีไทยหัวใจรักษ์โลก เตรียมเฮเมื่อค่ายรถยนต์ระดับหรูขยับนำเข้ารถพลังงานไฟฟ้า 100% “อีวี” มาทำตลาดในไทย ซึ่งที่ผ่านมามีทั้ง จากัวร์ ไอเพซ, อาวดี้ อี-ตรอน ราคากว่า 5 ล้านบาท และตามแผนที่เคยประกาศไปแล้วอย่าง ปอร์เช่ ไทคานน์ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2020
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ มินิ ในเครือบีเอ็มดับเบิลยู ว่าพร้อมขาย อีวี ในเมืองไทยแน่นอนแล้ว โดยค่ายแรกเคยวางแผนเปิดตัว “อีคิวซี” ในไทยปลายปี 2562 แต่ปรากฏว่าเจรจาโควตานำเข้ารถล็อตแรกโดยได้สิทธิพิเศษไม่เสียภาษีนำเข้ากับบีโอไอไม่ลงตัว จึงต้องเลื่อนแผนออกไปก่อน (บีโอไอให้สิทธิบริษัทรถยนต์ที่มีแผนลงทุนประกอบอีวีในไทย สามารถนำเข้ารถมาขายก่อนได้ “จำนวนหนึ่ง” โดยไม่เสียภาษีนำเข้า)
อย่างไรก็ตาม เจ้าพ่อรถยนต์หรูเมืองไทยนำโดยประธาน “โรลันด์ โฟลเกอร์” เคยประกาศว่ายังต้องทำงานร่วมกับบีโอไอในทุกมิติ และพูดคุยกันบ่อยขึ้น สุดท้ายได้ฤกษ์ เปิดตัว “อีคิวซี” ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แต่ไม่เกินไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการนำเข้ามาจากโรงงานผลิตที่เมืองสตุตการ์ต ประเทศเยอรมนี
ด้วยโควตานำเข้าภายใต้สิทธิพิเศษจากบีโอไอที่มีจำกัด และการวางแผนการขายและบริการหลังการขายต้องลงทุนเพิ่มเติม ดังนั้นในช่วงแรก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะให้สิทธิขายกับดีลเลอร์เพียง 4 ราย ซึ่งล้วนเป็นรายใหญ่ ทำผลงานได้ตามเป้าหมาย และเป็นกลุ่มที่เป็นพันธมิตรกันมานาน
สำหรับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย เตรียมจัดงานแถลงแผนการตลาดปี 2563 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เชื่อว่าจะมีความคืบหน้าของข่าว และความเคลื่อนไหวใหม่ๆให้ติดตาม
ด้านคู่แข่งร่วมชาติ “บีเอ็มดับเบิลยู” เริ่มขยับแผน “อีวี” มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากปีที่แล้วนำเข้า i3s มาทำตลาดด้วยราคา 3.73 ล้านบาท แต่ปีนี้เพิ่มความหลากหลายให้กับ “มินิ” แบรนด์ในเครือด้วยการเปิดตัว “มินิ คูเปอร์ เอสอี” ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งเป็นการนำเข้ามาจากโรงงานผลิตที่ออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
“คูเปอร์ เอสอี” เป็นรถพลังงานไฟฟ้า100% รุ่นแรกของมินิ ใช้มอเตอร์หนึ่งตัวขับเคลื่อนล้อหน้า วางแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 32.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งรถวิ่งได้ระยะทาง 235-270 กิโลเมตร โดยปีนี้ มินิ ประเทศไทยได้โควตาเพียง 20 คัน ในรุ่น L (รุ่นรองท็อป) คาดราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท และเปิดให้จองผ่านช่องทางออนไลน์ เหมือนที่เคยชิมลางระบบนี้กับรถยนต์รุ่นพิเศษและมีจำนวนจำกัดในปีที่แล้ว
การเปิดตัว มินิ คูเปอร์ เอสอี ถือว่าสร้างความประหลาดใจเล็กๆ เพราะที่ผ่านมา นายปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย เคยแสดงความเห็นว่า จะทำตลาดรถพลังงานไฟฟ้าภายใน 3 ปีนี้
“ความคืบหน้าเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของมินิที่เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดโลก ในส่วนของประเทศไทยจะได้เห็นแน่นอน คาดว่าไม่เกิน 3 ปี” นายปรีชา กล่าว
จากคำกล่าวของผู้บริหารมินิ ถือว่าจังหวะเวลาสอดคล้องกับการสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ ที่ประเทศจีนจะแล้วเสร็จพอดี ซึ่งมีโอกาสสูงที่ไทยจะใช้ช่องทางนี้นำเข้ามาทำตลาด
โรงงานแห่งใหม่ของมินิ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างบีเอ็ม ดับเบิลยู กรุ๊ป และเจ้าถิ่น บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งอยู่ในเมืองจางเจียกัง มณฑลเจียงซู เริ่มก่อสร้างในปี 2563 และเสร็จปี 2565 มูลค่าลงทุนกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนการจ้างงานพนักงาน 3,000 คน และจะประกอบมินิที่โรงงานแห่งนี้ด้วยกำลังการผลิตราว 160,000 คัน/ปี รวมกับรถยนต์แบรนด์อื่นๆ ของเกรท วอลล์ มอเตอร์
ด้วยข้อตกลงทางการค้า FTA จีน-อาเซียน ที่ “อีวี” ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าระหว่างกัน จึงมีโอกาสที่มินิ ประเทศไทยจะนำเข้า คูเปอร์ เอสอี (หรือคูเปอร์ อี) มาทำตลาด ซึ่งมีความชัดเจนในการลงทุนมากกว่าโรงงานผลิตประเทศมาเลเซียที่สำคัญบริษัทแม่ บีเอ็มดับเบิลยู ยังมีแผนประกอบ เอสยูวีพลังงานไฟฟ้ารุ่น iX3 ในจีนปีนี้ และมีโอกาสนำเข้ามาขายในไทยเช่นกัน
แผนงานในระดับโลกของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะมี “อีวี” ทำตลาดในปี 2564 รวม 4 โมเดล คือ i3, iX3, i4 และ iNEXT ซึ่งจะขยับเพิ่มเป็น 12 รุ่นในปี 2568
สำหรับยอดขายรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูในไทยปี 2562 ทำได้ 12,954 คัน ลดลง 1% ส่วน เมอร์เซเดส-เบนซ์ 15,087 คัน ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
หน้า 16-17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 40 ฉบับที่ 3,545 วันที่ 2-5 กุมภาพันธ์ 2563