ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

26 พ.ย. 2562 | 04:26 น.

เซ็นทรัลพัฒนาดึง “มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย” บิ๊กอสังหาฯ จากแดนซามูไร เข้าถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์  ,เซ็นทรัล พลาซา ฯลฯ และลักชัวรี่ เอาท์เล็ต “เซ็นทรัล วิลเลจ” เปิดเผยว่า บริษัทลงนามเซ็นสัญญากับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย หนึ่งในบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทในเครือเป็นผู้นำในเอาท์เล็ตหรูยอดขายอันดับหนึ่งมีสาขากว่า 9 แห่งทั่วญี่ปุ่น อาทิ โกเทมบะ ริงกุ ชิซุย  ฯลฯ  เข้าถือหุ้นในโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ในสัดส่วน 70:30 ถือเป็นการดึงเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาทเข้าสู่ประเทศไทย และยกระดับลักชัวรี่เอาต์เล็ตแห่งแรกของเมืองไทย โดยการผนึกเป็นพันธมิตรครั้งนี้จะเกิดการแลกเปลี่ยน Know-how และการบริการเทียบชั้นเอาท์เล็ตระดับโลก โดยเฉพาะเอาท์เล็ตยอดนิยมในญี่ปุ่น ด้วยแนวคิด ‘World-Class Outlet with Thai-Japanese Hospitality’  พร้อมผลักดันให้เซ็นทรัล วิลเลจก้าวสู่ลักชัวรี่เอาท์เล็ตที่ดีที่สุดในอาเซียน
  ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ
 สำหรับโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เฟสแรก ขณะนี้มีร้านค้าต่างๆ เปิดให้บริการครบเกือบ 100% อาทิ Coach, Club21 (Outlet by Club 21), Ermenegildo Zegna, Kate Spade New York, Kenzo,  MAX&Co., Michael Kors, Polo Ralph Lauren, Salvatore Ferragamo  ฯลฯ  หลังเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า มีลูกค้าทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก

ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

 

ด้านนายยูทาโร โยซุซูกะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย กล่าวว่า การร่วมลงทุนในโครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยและระดับโลก โดยการเข้ามาถือหุ้นในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทเปิดพอร์ตโฟลิโอใหม่กับการรุกธุรกิจเอาท์เล็ตในเมืองไทย โดยสาเหตุที่บริษัทตัดสินใจเลือกลงทุนกับซีพีเอ็นและโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพประเทศไทยที่แข็งแกร่ง ทั้งด้านโอกาสทางการลงทุน การสนับสนุนของภาครัฐจากโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการท่องเที่ยว ตัวเลขการท่องเที่ยวที่เติบโตถือเป็นเบอร์หนึ่งของภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 จะเติบโตได้ประมาณ 4% รวมถึงมีสัญญาณบวกจากการที่นักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มกลับเข้ามาและการเติบโตของกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียอีกด้วย. นอกจากนี้ยังเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญของซีพีเอ็น ซึ่งเห็นได้จากผลงานและความสำเร็จที่ผ่านมา รวมถึงโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ที่ตั้งอยู่ในโลเคชั่นที่ดีใกล้กับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งในอนาคตเชื่อว่ากลุ่มบริษัทมิตซูบิชิ เอสเตท จะช่วยต่อยอดความสำเร็จให้กับโครงการเซ็นทรัล วิลเลจได้อย่างแน่นอน”

ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

“ทั้งนี้ ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาลงทุนมากติดอันดับ TOP 3 ของไทย และ เป็นอันดับ 1 ใน EEC หรือเขตเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดของไทย ด้วยเม็ดเงินกว่า 100,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการลงทุนในพื้นที่ EEC ทั้งหมด นอกจากนี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผู้บริโภคที่มีความรักและความเข้าใจในสินค้าแบรนด์เนมเป็นอย่างดี เป็นเมืองแบรนด์เนมในฝันของนักเดินทางท่องเที่ยวไทยมาหลายยุคสมัยโดยคนไทยและคนญี่ปุ่นมีความชื่นชอบและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน” 

ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

สำหรับเซ็นทรัล วิลเลจ Bangkok Luxury Outlet โครงการรีเทลรูปแบบใหม่ของซีพีเอ็น ที่เป็น Thailand’s First International Luxury Outlet  ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย บนพื้นที่ 100 ไร่ พื้นที่โครงการ 40,000 ตร.ม. ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีแบรนด์ชั้นนำทั้งต่างประเทศและในประเทศกว่า 150 ร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่ถือเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย และอีกกว่า 60 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะเซ็นทรัล วิลเลจที่เดียว โดยมีทราฟฟิกประมาณ 17,000 คนต่อวัน ตั้งเป้าเป็นเดสติเนชั่นใหม่แห่งการช้อปปิ้งระดับเวิลด์คลาสที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยส่วนลด 35-70% ทุกๆวัน พิเศษกับส่วนลดที่ปรับเพิ่มขึ้นในทุกๆ ซีซั่นจากแบรนด์ต่างๆ พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับความร่มรื่นสวยงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมแบบไทยโมเดิร์น (Thai Modern) เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งลักชูรี่เอาท์เล็ตให้กับกรุงเทพฯ อย่างแท้จริง

ทุนญี่ปุ่น ทุ่มพันล้านถือหุ้นเซ็นทรัล วิลเลจ

อนึ่ง บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ MEC หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ market cap ที่ 2.913 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 26.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  และมีรายได้รวมกว่า 1.263 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 11.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ดำเนินงานครอบคลุมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย (Residential Properties) ธุรกิจโครงการสำนักงาน (Office Buildings) ธุรกิจศูนย์การค้า (Retail Properties) และธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) ผลงานที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกรุงโตเกียว คือ การพัฒนาโครงการสำนักงานกว่า 30 โครงการ และเป็นผู้พัฒนาเขตธุรกิจสำคัญใจกลางโตเกียว เช่น เขตธุรกิจสำคัญ Marunouchi รวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่นมายาวนาน อีกทั้งยังเข้าลงทุนพัฒนาโครงการในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในกลุ่มเอเชีย โดยการดำเนินงานผ่านบริษัท MEA ประเทศสิงค์โปร์