สถานะของการบินไทยในวันนี้ ซึ่งมีภาระหนี้สินรวมกว่า 2.45 แสนล้านบาท และการขาดทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท แม้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2561) การบินไทยจะสามารถลดภาระหนี้สินไปได้กว่า 4.8 หมื่นล้านบาท แต่ท่ามกลางการแข่ง ขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมการบิน หากการบินไทยยังบริหารจัดการตามแผนที่ทำไว้เดิม ก็คงไม่แคล้วที่จะมีผลประกอบการ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนสะสม ต่อเนื่องต่อไปอีก
แก้ปัญหาหนี้สินต่อทุนสูง
นี่เองจึงทำให้ขณะนี้การบินไทยจึงอยู่ระหว่างยกเครื่องแผนฟื้นฟูธุรกิจ ซึ่งเป็นการทบ ทวนแผนฟื้นฟูที่ดำเนินการอยู่แล้วเดิม ปรับให้สอดรับกับสถานการณ์ของโลกและธุรกิจนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสิ่งที่ “สุเมธ ดำรงชัยธรรม” ดีดีการ บินไทย จะต้องเร่งดำเนินการ คือ การปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับโครงสร้างทางเงิน และทบทวนแผนจัดหาฝูงบิน 38 ลำ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท
โจทย์ใหญ่ของการบินไทยในวันนี้คือ การบินไทยมีส่วนทุนที่น้อย แต่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน D/E สูงมาก โดยตัวเลขล่าสุดหลังสิ้นไตรมาสของปีนี้ การบิน ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเกิน 8 เท่า ดังนั้นหากจะให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ การบินไทยจะต้องลดหนี้ให้ลงไปอีกจำนวนหนึ่ง การลดสินทรัพย์ หรือแม้ แต่การเพิ่มส่วนทุน ที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลัง
กู้3.2หมื่นล.เป็นทุนหมุนเวียน
หากเทียบกับสายการบิน อื่นๆ การบินไทยมีทุนจดทะเบียน 2.69 หมื่นล้านบาท จัดว่าน้อยกว่าสายการบินชั้นนำในระดับเดียวกันมาก อาทิ เจแปนแอร์ไลน์สมีทุนจดทะเบียน 5.24 หมื่นล้านบาท ออล นิปปอน แอร์เวย์ส มีทุนจดทะเบียน 9.21 หมื่นล้านบาท คาเธ่ย์แปซิฟิค มีทุนจดทะเบียน 6.80 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นเมื่อเทียบความสามารถกำลังการผลิตของทุนจดทะเบียนของการบินไทยที่มีน้อยกว่า การบินไทยสามารถผลิตภายใต้สัดส่วนผลผลิต (ASK) ต่อทุน ได้มากกว่าคาเธ่ย์แปซิฟิค 3 เท่า ออล นิปปอน แอร์เวย์ส 6 เท่า และเจแปนแอร์ไลน์ส 12 เท่า จึงเลี่ยงไม่ได้ที่การบินไทยต้องใช้เครื่องมือ “เงินกู้” ในการขยายงาน และเป็นทุนหมุนเวียน
ทำให้ในปีงบประมาณ 2563 การบินไทย มีแผนจะกู้เงินราว 3.2 หมื่นล้านบาท ตามกรอบวงเงินที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือ สบน. อนุมัติ เพื่อมารองรับการลงทุนและเพื่อเป็นการ Refinance หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามปกติ การปรับปรุงอุปกรณ์ และการซ่อมบำรุงเครื่องบิน (ไม่รวมการจัดหาฝูงบินใหม่) ซึ่งวงเงินดังกล่าวเป็นแผนการ ก่อหนี้ใหม่ ใกล้เคียงกับวงเงินตามแผนการก่อหนี้ของปีที่ผ่านมา และไม่รวมถึงหนี้เก่าที่ครบกำหนดต้องใช้คืน
อีกทั้งการบินไทย ยังให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 บริษัทมีเงินสดในมือรวมกับ Revolving Credit Line คิดเป็น 13.4% ของประมาณการรายได้รวมทั้งปี
6 เดือนทบทวนแผนเสร็จ
นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (ดีดี) การบินไทย เผยว่า การทบทวนแผนฟื้นฟูขณะนี้สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การปรับโครงสร้างธุรกิจ การปรับโครงสร้างองค์กร ให้สอดคล้องกับกำลังพลที่ต้องใช้ในแต่ละส่วน และแผนจัดซื้อฝูงบินใหม่ ที่จะต้องทบทวนให้เสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้เงินที่จะเกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างทางการเงินต่อไป ซึ่งก็มีหลายวิธีการที่สามารถดำเนินการได้ ทำให้เกิดเสถียร ภาพในการดำเนินธุรกิจ
“แผนฟื้นฟูเดิมมีโครงอยู่แล้ว แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยน ทั้งปัจจัยภายนอก หรือแม้แต่การแข็งค่าของเงินบาท ดังนั้นการจะทำให้ได้ตามเป้าหมายในแผนฟื้นฟู ก็ออกแบบวิธีการทำงานใหม่ ที่มีความเหมาะสม เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย เช่น การจัดหาฝูง บิน ตอนนี้เราอยู่ระหว่างวิเคราะห์การตลาดใหม่หมด เพื่อสอดรับการจัดหาฝูงบินใหม่ที่เหมาะสม การจัดหามีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งหมด ใช้วิธีเช่าก็ได้ ซึ่ง ทุกวันนี้ตลาดการบินเปลี่ยน การเช่าเครื่องบิน 6 เดือนมาทำการบินก็ทำได้” นายสุเมธ กล่าว
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทย กล่าวว่าการที่บอร์ดสั่งทบทวนแผนจัดซื้อฝูง บินใหม่ของการบินไทยในขณะนี้ เกิดจากสมมติฐานที่เปลี่ยนไป เนื่องจากแผนจัดหาฝูงบินเดิม จัดทำในช่วงที่ไม่มีผลกระทบสงครามการค้า (เทรดวอร์) แต่ปัจจุบันมีปัจจัยดังกล่าวที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
รวมทั้งยังมีปัจจัยฐานะทางการเงินขององค์กรที่ต้องทบทวน ปัญหาการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบิน และเส้นทางบินที่ไม่ได้รับความนิยมแล้ว การทบทวนให้รอบคอบ ดีกว่าดึงดันใช้แผนเดิมก็อาจมีความเสี่ยงสูง
ตั้งเป้าลดรายจ่ายลง 20%
ขณะเดียวกันการบินไทยมีเป้าหมายระยะสั้น (3 เดือนสุดท้ายของปีนี้) คือ การเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายตั๋ว โครงการอี-คอมเมิร์ซ ช็อปปิ้ง และควบคุมค่าใช้จ่าย โดยจะลดค่าใช้จ่ายบางรายการที่ไม่จำเป็น และไม่มีผลต่อคุณภาพในการให้บริการลงอีก 10% การหารือกับพนักงานลดวันหยุด 1 วัน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายการทำงานล่วงเวลา (โอที) เป็นต้น และยังต้องมองการแก้ปัญหาการขาดทุนของสายการบินไทยสมายล์ โดยเพิ่มการใช้เครื่องบินให้ได้เป็น 10 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ก็จะทำให้สายการบินถึงจุดคุ้มทุนในการปฏิบัติการบิน
ขณะที่แผนระยะยาว การ บินไทยเตรียมเพิ่มเครื่องมือทาง การตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความเคลื่อนไหว เช่น ลูกค้าสะสมรอยัลออคิดพลัส ROP โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น การเน้นเรื่องดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง การปลดระวาง จำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่ ก่อให้เกิดรายได้ รวมไปถึง เพิ่มรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ ครัวการบิน และศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO)
ทั้งหมดเป็นการทบทวนแผนฟื้นฟูธุรกิจของการบินไทยที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ
รายงาน โดย ธนวรรณ วินัยเสถียร
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,513 วันที่ 13-16 ตุลาคม 2562