แบไต๋ MK พร้อมซื้อ-ร่วมทุน สยายปีกร้านอาหาร
เปิดยุทธศาสตร์ เอ็มเคฯ ชู 4 กลยุทธ์หลัก ทั้ง ซื้อแฟรนไชน์ ,ร่วมทุน,ซื้อกิจการ และพัฒนาแบรนด์เอง สู่ความยั่งยืนในธุรกิจร้านอาหารเมืองไทย พร้อมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เสริมทัพองค์กรรับเทรนด์เทคโนโลยีดิสทรัปชั่น
นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การดำเนินงานของทางกลุ่มนับจากนี้จะให้ความสำคัญแผนงานในการสร้างการเติบโตให้แก่ทางกลุ่มผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การซื้อแฟรนไชส์ 2.การร่วมทุนทั้งในและต่างประเทศ 3.การพัฒนาแบรนด์และสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่ และ4. การเข้าซื้อกิจการ โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทไดด้มีการใช้เม็ดเงินกว่า 2,000 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้นร้านแหลมเจริญซีฟู้ด ในสัดส่วน 65% เพื่อเป็นการเสริมพอร์ตร้านอาหารให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มอาหารซีฟู้ดที่กำลังมีการเติบโตที่ดีและมีศักยภาพในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ แน่นอนว่าทิศทางของแหลมเจริญซีฟู้ด นับจากนี้จะมีสปีดการขยายตัวทีเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับบริษัท เซนโค กรุ๊ป โฮลดิ้ง คัมปะนี เปิดตัวบริษัท เอ็ม-เซนโค โลจิสติกส์ จำกัด พร้อมทั้งทุ่มงบ 1,750 ล้านบาท พัฒนาคลังสินค้าพัฒนาคลังเก็บสินค้าแบบเย็น (Cold Warehouse) ขนาด 20,000 ตารางเมตร รองรับการเก็บสินค้าได้มากถึง 12,000 พาเลท (Pallet) ไปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยคลังสินค้าดังกล่าวพร้อมเปิดให้บริการในเดือนตุลาคมนี้ โดยมั่นใจว่าจะสามารถรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท ในปี 2568
“เอ็มเคเรามีการปรับแผนช่วง 7 ปีตลอดอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ายุทธศาสตร์การดำเนินงานนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาแผนงานเพื่อรองรับการเข้ามาของยุคดิจิตอล ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีทั้งการนำแท็บเล็ตมาใช้ในการสั่งอาหาร รวมถึงการนำเครื่องทอนเงินอัตโนมัติทดลองใช้ใน 10 สาขา ก่อนจะวางเป้าหมายยกเลิกการใช้เมนูกระดาษ แต่จะปรับมาใช้ดิจิตอลเมนูเข้ามาใช้แทน”
พร้อมกันนี้บริษัทยังมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโอกาสและวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นในธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล เม็ดเงิน และการวางระบบการทำงานที่ดี เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่บริษัท
“หากถามแผนงานอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าของทางกลุ่มถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้ เพราะแผนงานระยะยาวขนาดนั้นไม่มีแล้ว เนื่องการตลาดสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี พฤติกรรมความต้องการ และเทรนด์ ทำให้บริษัทต้องมีการปรับแผนการทำงานที่สั้นลงเพื่อให้ทัต่อความต้องการของผู้บริโภค”