ลุยยกระดับรับมือ“เทรดวอร์-เบร็กซิท”

08 ต.ค. 2562 | 05:05 น.

พาณิชย์-เอกชน ถกเข้มรับมือเทรดวอร์-เบร็กซิท ป่วนเศรษฐกิจ การค้าโลก ได้ข้อสรุป 4 เรื่องเตรียมชงคณะทำงาน กรอ.พาณิชย์ดันรูปธรรมในทางปฏิบัติ

 

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ในการประชุมคณะทำงาน war room ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันภาคเอกชน(7 ต.ค.62) ได้หารือในประเด็นสำคัญ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของ(เบร็กซิท) ที่ใกล้ถึงกำหนดวันที่สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ต้องออกจากสหภาพยุโรป(อียู) รวมทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าโลกที่อ่อนแอและชะลอตัว เพื่อประเมินผลกระทบและเตรียมหาแนวทางรองรับปรับตัวของไทย

 

ที่ประชุมมีความเห็นว่า ปัจจุบันมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนรอบด้าน ทำให้นอกจากต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ารองรับโดยเน้นเรื่องการส่งออกแล้ว ยังต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่จะมีขึ้นจากความขัดแย้งของสองประเทศใหญ่อีกด้วย โดยปัจจุบันการส่งออกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ประเทศไทยพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างประเทศสูง เมื่อมีความเสี่ยงจากภายนอกจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ จึงควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ลุยยกระดับรับมือ“เทรดวอร์-เบร็กซิท”

สำหรับการประชุมครั้งนี้มีข้อสรุป 4 เรื่องหลัก คือ 1.การเตรียมรับมือการเบี่ยงเบนการค้า ป้องกันสินค้าที่ไหลเข้ามาที่มีความเสี่ยงในการสวมสิทธิ โดยกระทรวงพาณิชย์มีมาตรการและติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว 2.การส่งออก เน้นการขยายสินค้าไปเพิ่มในประเทศต่าง ๆ และหาแนวทางบรรเทาผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่าที่มีผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังดูแลเรื่องนี้ แต่การที่เงินบาทแข็ง ก็เป็นโอกาสที่จะไทยจะใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเพื่อปรับพอร์ตประเทศใหม่

 

3.การเจรจาการค้ามีแผนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ไทย-อียู และไทย-อังกฤษ และยังเน้นเร่งการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค(อาร์เซ็ป หรืออาเซียนบวก6)ให้เสร็จภายในปีนี้ 4.การลงทุน นอกจากการส่งเสริมการลงทุนในประเทศแล้ว ยังควรส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ต้องเร่งการดึงดูดการลงทุนโดยตรงให้เพิ่มมากขึ้น เพราะผลจากสงครามการค้าทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่นหลายประเทศ ซึ่งไทยจะต้องมีนโยบายและมาตรการดึงดูดการลงทุนที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ก็ดำเนินการอยู่

ลุยยกระดับรับมือ“เทรดวอร์-เบร็กซิท”

“ในระยะสั้น ไทยอาจจะเน้นกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยอาจเพิ่มมาตรการส่งเสริมการใช้สินค้าไทย การลงทุนในสาขาที่คนไทยเป็นผู้ประกอบการมากและมีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาวด้วย”

 

ในส่วนข้อเสนอของภาคเอกชน เช่น ด้านการส่งเสริมการลงทุน นอกจากจะเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve แล้ว ขอให้รัฐบาลทบทวนการสนับสนุนการลงทุนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เป็นของคนไทยด้วย โดยอาจจะไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงมากนัก แต่ไทยมีศักยภาพ เช่น อาหาร ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนไทยออกไปต่างประเทศ (Outward Investment) โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมถึงการส่งออกธุรกิจแฟรนไชส์

 ด้านการส่งออก ขอให้ภาครัฐช่วยดูแลต้นทุนทางการเงินและผลกระทบจากค่าเงินบาท เช่น ลดต้นทุนกู้เงินและต้นทุนประกันความเสี่ยงการชำระเงินระหว่างประเทศ ตลอดจนดูแลต้นทุนโลจิสติกส์การค้าระหว่างประเทศ ผลักดันสินค้าไทยสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก และส่งออกภาคบริการให้มากขึ้น

สำหรับประเด็นค่าเงินบาทแข็ง ที่ประชุมหารือถึงมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบ เช่น ส่งเสริมการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อการผลิตและแปรรูป การนำเข้าสินค้าทุนเพื่อยกระดับความสามารถในการผลิตและเตรียมความพร้อมเพื่อปรับโครงสร้าง ส่งเสริมการนำเข้าสำหรับภาคบริการเพื่อส่งเสริมธุรกิจ โลจิสติกส์และการศึกษา เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวทางต่าง ๆ จะพิจารณากันในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนนำเสนอต่อคณะทำงานของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์(กรอ.พาณิชย์) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อพิจารณาในเดือนตุลาคมนี้ต่อไป