ปิดฉากไต่สวนคดี“โอ๊ค”ฟอกเงิน ศาลนัดชี้ชะตา25พ.ย.นี้

26 ก.ย. 2562 | 07:55 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

ปิดฉากไต่สวน "โอ๊ค-พานทองแท้" คดีฟอกเงินกู้กรุงไทย เจ้าตัวลั่นพร้อมเข้ารับฟังคำพิพากษา 25 พ.ย.นี้ หวังคำตัดสินออกมาในทิศทางที่ดี ศาลให้ 2 ฝ่ายยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจ

การไต่สวนคดี นายพานทองแท้ หรือ โอ๊ค ชินวัตร บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เช้าวันนี้(26 ก.ย.62) ซึ่งเป็นการไต่สวนพยานนัดสุดท้าย ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และศาลได้นัดพิพากษาในวันที่ 25 พ.ย.นี้


โดยคดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 จากกรณี นายพานทองแท้ รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยฯ กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลยในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 


ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชายคนละ 12 ปีร่วมกับพวก โดยในส่วนของนายวิชัย , นายรัชฎา บุตรชาย และกลุ่มอดีตกรรมการบริษัทเอกชนในเครือกฤษดา รวม 6 คนนั้น ก็ถูกอัยการยื่นฟ้องความผิดฟอกเงินการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเช่นกันด้วย โดยชั้นศาล นายพานทองแท้ ให้การปฏิเสธสู้คดีว่า ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร 

 

ขณะที่คดีนี้ ศาลนัดไต่สวนพยาน 3 นัด คือวันที่ 24, 25, 26 ก.ย. ซึ่งวันที่ 24-25 ก.ย. ศาลได้ไต่สวนพยานไปแล้ว 4 ปาก เป็นพยานโจกท์และพยานที่โจทก์และจำเลยอ้างร่วมกัน 

ขณะที่วันนี้ (26 ก.ย.) เป็นการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งนายพานทองแท้ มาพร้อมกับน้องสาวทั้ง 2 และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เหมือนเช่นเคย โดยมีน้องเขยกับกลุ่มเพื่อนสนิทนับ 10 คน มาร่วมให้กำลังใจ

                             ปิดฉากไต่สวนคดี“โอ๊ค”ฟอกเงิน ศาลนัดชี้ชะตา25พ.ย.นี้
 

 

นายพานทองแท้ ได้ขึ้นเบิกความด้วยตนเองเพียงปากเดียว เกี่ยวกับการวางแผนที่จะดำเนินธุรกิจนำเข้ารถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ที่จะมีนายรัชดา บุตรชายวิชัย ผู้บริหารเครือกฤษดามหานครร่วมด้วยว่า แนวคิดดังกล่าวตนเป็นผู้คิดเอง มาตั้งแต่ช่วงปี 2547 จากที่ได้มีการพูดคุยในกลุ่มเพื่อน 5-6 คน โดยหลังจากพูดคุยกันแบบไม่เป็นทางการแล้ว ในวันรุ่งขึ้น นายรัชดาทได้โทรศัพท์มาพูดคุยว่าจะขอร่วมลงทุนด้วย โดยเหตุที่นายรัชดาเร่งโทรมาคุยเพราะกังวลว่าจะลืมชักชวนนายรัชดา ในการลงทุนด้วย ซึ่งแนวคิดขณะนั้นคิดไว้เพียงว่าการลงทุนน่าจะต้องใช้เงินลงทุนคนละ 20 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าร่วมลงทุนกี่คน เนื่องจากมูลค่ารถซุปเปอร์คาร์นั้นต่อคันจะตกอยู่ที่ 20 ล้านบาทขึ้นไป 


โดยช่วงนั้นที่ยังไม่มีบุคคลอื่นมาร่วมเสนอลงทุนด้วย จำเลยก็ไม่ทราบเหตุผลโดยการจะดำเนินธุรกิจดังกล่าวนั้น ตนได้ให้นายเฉลิม แผลงศร ซึ่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (CFO) ที่ดูแลเรื่องการเงินทุกบริษัทของจำเลยไปศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเหตุที่แม้นายเฉลิมจะไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ แต่ที่จำเลยมอบหมายงานให้ศึกษา เพราะเป็นผู้ที่จำเลยให้ความไว้วางใจในเรื่องที่ได้ดูแลเรื่องการเงินบริษัทและเงินส่วนตัว รวมทั้งธุรกิจของจำเลยด้วย โดยสุดท้ายธุรกิจนี้ไม่ได้ดำเนินไป ซึ่งยุติลงในชั้นของการศึกษาแนวทางก็เพราะนายเฉลิม ได้แจ้งผลการศึกษาการดำเนินธุรกิจนี้ให้กับจำเลยทราบว่ามีความเป็นไปได้ยาก และจะไม่คุ้มเงินลงทุนทางธุรกิจ

ส่วนที่นายรัชดาโอนเงิน 10 ล้านบาทให้จำเลย ที่จะมาร่วมลงทุนโดยเป็นเช็คชื่อนายวิชัยนั้นจำเลยไม่ทราบเหตุผล  

                                                   ปิดฉากไต่สวนคดี“โอ๊ค”ฟอกเงิน ศาลนัดชี้ชะตา25พ.ย.นี้

นอกจากนี้ นายพานทองแท้ ยังได้ตอบคำถามศาลเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวและของตัวเขา รวมทั้งความใกล้ชิดสนิทสนม ระหว่างตัวนายพานทองแท้กับนายเฉลิม และระหว่างตัวนายพานทองแท้กับนายรัชดาและนายวิชัยว่า ในครอบครัวของนายพานทองแท้ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคือ นายทักษิณ บิดา , น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาของจำเลย ซึ่งทั้ง 2 เคยเป็นนายกรัฐมนตรีและลูกพี่ลูกน้องที่เป็น ส.ส. ส่วนตัวนายพานทองแท้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยปัจจุปันจำเลยประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีอยู่ 7 กิจการ อาทิ บ.ว๊อยซ์ทีวี , บ.ฮาวคัม โดยจำเลยมีรายได้ 1 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในจำนวนนั้น 400,000 บาท เป็นค่าตอบแทนที่ได้จากธุรกิจว๊อยซ์ทีวี ที่เหลือเป็นเงินปันเงิน จากหุ้นบริษัทต่างๆ ซึ่งจำเลยจะมีค่าใช้จ่าย 400,000 -500,000 บาทต่อเดือน 


ส่วนธุรกิจของครอบครัวปัจจุปันมีประมาณ 7 กิจการ เช่น โรงแรมโรสวูด แบงค์คอก กับสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งบางกิจการจำเลยก็มีหุ้นอยู่ด้วย และใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวจำเลยกับนายรัชดา รู้จักมาตั้งแต่อายุ 21 ปี และเคยไปหานายรัชดา ที่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นบริเวณเดียวกันกับบ้านของนายวิชัย แต่เป็นคนละหลัง โดยจำเลยไม่เคยไปพบนายวิชัยที่บ้าน  

 

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ยังตอบคำถามศาลด้วยว่า ระหว่างการถูกดำเนินคดีจำเลยได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ 3 หน่วยงาน ซึ่งได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองที่เชื่อว่าถูกกลั่นแกล้ง แต่ไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานได้ตรวจสอบ โดยมี 2 หน่วยงานที่แจ้งกลับมาว่าจะทำการตรวจสอบให้ คือ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยนายพานทองแท้ ยืนยันว่า ไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองใดๆ เป็นการส่วนตัว กับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้  

ภายหลัง นายพานทองแท้ เบิกความตอบคำถามศาล อัยการโจทก์ และทนายความจำเลยเสร็จสิ้นแล้วในเวลา 12.45 น. ศาลเห็นว่าได้ไต่สวนพยานครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว จึงนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ตามกำหนดเดิม คือวันที่ 25 พ.ย.นี้เวลา 10.00 น. โดยให้คู่ความทั้ง2 ฝ่ายยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนับจากวันนี้ หากไม่ยื่นภายในกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจ  

นายพานทองแท้ เปิดเผยภายหลังการไต่สวนพยานนัดสุดท้ายว่า วันนี้ไม่ได้เครียดอะไรมาก แต่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ ศาลได้สั่งเกตเห็นอาการตื่นเต้นเพราะถือว่าเป็นการเข้าไต่สวนเป็นครั้งแรก บรรยากาศในห้องพิจารณาไม่เครียด ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะพูดทุกอย่างตามความจริง 


“วันนี้ผมได้ให้คำตอบกับศาลไปอย่างชัดเจน ในทุกข้อซักถาม แต่ก็ไม่ทราบว่าจะชัดพอมั้ย”


เมื่อถามว่ามีความคาดหวังกับผลคดีอย่างไร นายพานทองแท้ กล่าวว่า มีความคาดหวังสิ่งที่พูดไปกับศาลวันนี้จะทำให้ผลการตัดสินจะออกไปในทิศทางที่ดี ซึ่งหลังจากเสร็จขึ้นศาลวันนี้ตนเองจะไปทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล และจะกลับมาฟังคำตัดสินอีกครั้งในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ซึ่งจะเดินทางมาฟังคำตัดสินด้วยตนเอง