กลายเป็นภาพข่าวครึกโครม เมื่อ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ใช้ไม้แข็งกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น ยักษ์ค้าปลีกรายใหญ่ของไทย ปิดทางเข้าออก ห้ามผู้เช่าเข้าพื้นที่โครงการเซ็นทรัลวิลเลจ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท บนถนนบางนา-ตราด กม.15 ซึ่งมีกำหนดจะเปิดให้บริการปลายเดือนสิงหาคมนี้
รายการห้องข่าวเศรษฐกิจ NEWS ROOM ช่วง “ลึกแต่ไม่ลับ กับ บากบั่น บุญเลิศ” ดำเนินรายการโดย บากบั่น บุญเลิศ และ วิลาสินี แวน ฮาเรน ซึ่งออกอากาศทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 เจาะประเด็นร้อนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้มานำเสนอ โดยที่ผ่านมานั้นทั้ง ทอท. และ ซีพีเอ็น ต่างงัดข้อมูลมาอ้างความชอบธรรมในการใช้พื้นที่ของตน
“ซีพีเอ็น” ซึ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องนี้ยืนยันว่า ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ทั้งเรื่องการได้รับใบอนุญาตการก่อสร้างจากผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายและปฏิบัติตามข้อกำหนดการก่อสร้างตามพื้นที่ของโครงการซึ่งเป็นไปตามกฎหมายผังเมืองในปัจจุบัน รวมถึงการได้รับใบอนุญาตการเชื่อมทางเข้าออกโครงการอย่างถูกต้องจากหน่วยงานที่มีอำนาจในการอนุมัติ และได้รับอนุญาตในการเชื่อมต่อและขยายเขตวางท่อประปาและไฟฟ้าจากหน่วยงานผู้มีอำนาจ ซึ่งการขอใช้ประปา ไฟฟ้าถือเป็นสิทธิในการเข้าถึงการให้บริการสาธารณูปโภคของประชาชน
ทั้งยังยํ้าแถลงการณ์ด้วยว่า บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการแข่งขันอย่างเป็นธรรมโดยบริษัทมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้โครงการเซ็นทรัลวิลเลจ เป็นลักชัวรีเอาต์เลตในระดับสากลโดยฝีมือของคนไทย
ในขณะที่ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ยืนยันเช่นกันว่า การนำเต็นท์และแบร์ริเออร์ไปปิดพื้นที่ในเขตทางหลวงหมาย เลข 370 หรือ ถนนเชื่อมระหว่างมอเตอร์เวย์และถนนบางนา-ตราด ติดกับทางเข้า-ออก ประตู 1 ทางเข้าโครงการเซ็นทรัลวิลเลจเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมว่า ปฏิบัติตามหน้าที่ หากไม่ทำตนเองก็จะผิด ม.157 โดยเหตุผล 3 ประการ คือ 1. ที่ดินบริเวณดังกล่าวได้จากการเวนคืน เป็นที่ราชพัสดุที่ต่อมาได้มอบให้ ทอท.ครอบครองและใช้ตามวัตถุ ประสงค์การเวนคืนเรื่องทำสนามบินพาณิชย์เท่านั้น
2. ปัจจุบันการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังอยู่ในโครงการพัฒนาระยะที่ 2 หากในอนาคตมีการพัฒนาเต็มรูปแบบ การจราจรในบริเวณทางเข้า-ออกทางทิศใต้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีปริมาณการจราจรที่หนาแน่นกว่าปัจจุบัน
และ3.การทำทางเชื่อมอาจทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการสร้างระบบสาธารณูปโภคในช่วงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะถัดไป เช่น การก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kv ที่มีแนวก่อสร้างตามแนวทางหลวงหมายเลข 370
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งระหว่าง ทอท.กับ ซีพีเอ็น นั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เมื่อทาง ทอท.ได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบุว่า โครงการเซ็นทรัลวิลเลจของ “ซีพีเอ็น” นั้น ใช้ที่ดินผิดประเภท ทำเรื่องร้องเรียนไปที่ อบต.บางโฉลง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ระบุว่า การอนุมัติให้ใช้พื้นที่เพื่อการพาณิชย์นั้นไม่สามารถทำได้เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สีเขียวไม่สามารถทำเพื่อการพาณิชย์ได้
นอกจากนี้ยังได้ส่งหนังสือร้องไปที่ กรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งมอบที่ดินให้กับ ทอท. เพื่อให้ใช้ในการปฏิบัติการการบิน ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่ทาง ทอท. เปิดประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิมูลค่า 15,420 ล้านบาท
ซึ่งจากทำเลที่ตั้งของโครงการเซ็นทรัลวิลเลจที่ดักทางเข้า-ออกของสนามบินสุวรรณภูมิ “ซีพีเอ็น” คาดว่าจะมีรายได้ปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท
คำถามสำคัญ คือ พื้นที่ทางเข้าออกโครงการเซ็นทรัลวิลเลจนั้นเป็น “กรรมสิทธิ์” ของใคร ระหว่าง ทอท.ในฐานะผู้บริหารสนามบิน “กรมธนารักษ์” เจ้าของที่ดิน หรือ “กรมทางหลวง” ผู้สร้างและซ่อมทาง
ตอนหนึ่งในรายการ นายบากบั่น อ้างถึงข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของ นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยว่า การก่อสร้างโครงการเซ็นทรัลวิลเลจ ของ ซีพีเอ็น ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมินั้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้อนุญาตให้ก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 โดยผู้ที่มายื่นขออนุญาตก่อสร้างในครั้งนั้น คือ บริษัท สวรรค์วิถี จำกัด ซึ่งแนบแบบแปลนมาให้กับ กพท.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการแก้ “ธงแดง” ของไทยกับ ICAO
จากการตรวจสอบ ยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการแนวร่อนในพื้นที่ปลอดภัยด้านการเดินอากาศยานจึงได้อนุมัติก่อสร้างให้ ซึ่งทาง กพท.ได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยัง ทอท.เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่า โครงการนี้ไม่ได้ส่งผล กระทบต่อแนวร่อนของสนามบิน จากเหตุผลดังกล่าวได้หักล้างประเด็นที่ทาง ทอท. อ้างว่า โครงการนี้กีดขวางแนวการบินให้ต้องตกไป
ประเด็นที่ถูกตั้งคำถามตามมา คือ พื้นที่ดังกล่าว “ใครเป็นผู้มีอำนาจในการอนุมัติ” ซึ่งจากข้อมูล ระบุว่า เป็นที่ราชพัสดุโดยกรมธนารักษ์มอบหมายให้ ทอท. นำไปใช้เพื่อปฏิบัติการด้านการบิน ซึ่ง ทอท.ได้ทำหนังสือรอบแรกแจ้งไปยัง กรมธนารักษ์ ขอให้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้กับเอกชน เนื่องจาก ทอท.ไม่ได้ใช้อำนาจในตอนนั้น ซึ่ง กรมธนารักษ์ ก็ชี้แจงกลับมาว่า ที่ดินดังกล่าวนั้นได้มอบให้ ทอท.ไปดำเนินการแล้วจึงหมดหน้าที่ของ กรมธนารักษ์ แล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อดูบริเวณพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาทขึ้นนั้น ปรากฏ ข้อมูลที่น่าสนใจโดยนายบากบั่น นำเอกสารมาเทียบเคียงให้เห็นภาพว่า ผู้ที่รับผิดชอบมีหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องการให้ใช้ที่ดินแนวรอยต่อก่อนขึ้นถนนนั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของ กรมทางหลวง ซึ่งเคยปรากฏข้อมูลว่า ทอท.เคยทำเรื่องขออนุญาตสร้างท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินและบ่อพักในเขตทางหลวงหมายเลข 370 ตอนทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านถนนบางนา บางบัว ลงนามโดยนายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีกรมทางหลวง ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจาก ผอ.ทางหลวงแผ่นดิน สอดรับกับข้อมูลที่ ซีพีเอ็น อ้างไว้เบื้องต้นแล้วว่า ได้ทำเรื่องขออนุมัติเรื่องนี้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้สั่งให้ ทอท. เข้าไปดูแลในเรื่องนี้ ทั้งยังยํ้าด้วยว่า ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ กฎหมายบังคับใช้กับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด ดังนั้นต้องดูข้อเท็จจริงและกฎหมายให้ครบถ้วนในการดำเนินการ
ยังต้องจับตากันต่อว่า ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ “ซีพีเอ็น” จะเปิดให้บริการตามกำหนดได้หรือไม่ ขณะที่ ทอท.จะงัดไม้เด็ดอะไรมาดำเนินการเรื่องอีก
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3500 วันที่ 29-31 สิงหาคม 2562