จากกรณีการตกเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์บนโลกโซเชียลช่วง 24 ชั่วโมง สำหรับข่าว กูเกิล ประกาศยุติการทำธุรกิจกับหัวเว่ย รวมถึงระงับการอัพเดทระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) แอนดรอยด์บนสมาร์ทโฟนหัวเว่ย ตามประกาศฉุกเฉิน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัท “หัวเว่ย” โดยติดเทรนด์อันดับแรกในทวิตเตอร์ สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ย
ล่าสุดหัวเว่ยได้ออกมารับมือด้วยแผนสำรองจากการซุ่มพัฒนาระบบปฏิบัติการของตนเองภายใต้ชื่อ Hongmeng ขณะที่กระแสของโลกโซเชียลในไทยนั้นยังมีความคิดเห็นว่าจีนเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและเชื่อมั่นว่าหัวเว่ยจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ในครั้งนี้ได้ด้วยการนำระบบปฏิบัติการของตนเองมาใช้แทนแอนดรอยด์แต่ประชาชนบางส่วนก็ยังคงมีความกังวลใจเกี่ยวกับสมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่ซื้อมาพ่วงแพ็กเกจค่าบริการกับทางค่ายมือถือ ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาไม่สามารถอัพเดทแอพพลิเคชันต่างๆ บน กูเกิล เพลย์ สโตร์ได้ในอนาคต และอาจมีความยุ่งยากหากต้องมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการของหัวเว่ย
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่ง หรือ สำนักงาน กสทช. ได้มีการติดต่อสอบถามไปยังสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวล โดยผู้ที่มีการใช้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยก็ยังสามารถใช้งานได้ต่อไป แต่ในกรณีที่จะต้องอัพเดทข้อมูลระบบก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง ทั้งนี้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยที่วางจำหน่ายอยู่ยังคงสามารถใช้งานได้ แต่สมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่จะผลิตออกมาในอนาคตอาจส่งผลกระทบ คือไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ นอกจากนี้เรื่องของบริการเครือข่ายนั้นประเทศไทยไม่ได้อยู่ในลิสต์ 40 ประเทศ จึงสามารถใช้งานได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตามโอเปอเรเตอร์หรือผู้ให้บริการเครือข่ายที่มีการจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนหัวเว่ยอย่าง เอไอเอส ได้มีข้อชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่า เอไอเอส ในฐานะผู้จัดจำหน่ายได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากหัวเว่ยว่าสมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบันของหัวเว่ย ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ ทั้งนี้รวมถึงซอฟต์แวร์และกูเกิล แอพพลิเคชัน ด้านกลุ่มทรู ก็ได้มีการยืนยันว่าลูกค้าที่ใช้สมาร์ทโฟนในรุ่นปัจจุบัน รวมถึงรุ่นที่วางขายจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ขณะที่ดีแทค ได้รับการยืนยันจากหัวเว่ยแล้วว่า ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในปัจจุบันจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยหัวเว่ยจะยังคงให้บริการอัพเดตซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยที่จำเป็น และบริการหลังการขายต่อไป
นอกจากนี้นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน เปิดเผยว่า บริษัท ไม่กังวลกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะหากมีการประกาศออกมาอย่างชัดเจน ลูกค้ามีโอกาสตัดสินใจซื้อ และสามารถเลือกซื้อแบรนด์อื่นแทนได้ ซึ่ง คอมเซเว่น เป็นตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนครบทุกแบรนด์ชั้นนำในตลาดอยู่แล้ว เนื่องจากสัดส่วนสินค้าของบริษัท ในงวดไตรมาส 1/2562 กลุ่มสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสมาร์ทโฟนและไอโฟน มีสัดส่วน 51% ของรายได้รวม และมีอัตราการเติบโต 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีกลุ่มไอโฟนเป็นยอดขายหลักของกลุ่ม ขณะที่สมาร์ทโฟนแบรนด์ชั้นนำยังมีโอกาสเติบโตสูง ได้แก่ ซัมซุง หัวเว่ย ออปโป้ วีโว่ ซึ่งปัจจุบัน หัวเว่ย มีสัดส่วนเพียง 3% ของรายได้รวมทั้งหมด และไม่ได้พึ่งพิงแบรนด์ใดเป็นพิเศษ
“เรามองผลกระทบเรื่องนี้เป็นสองมุม อันดับแรก หากมีการประกาศอย่างชัดเจนออกมาในเรื่องของ กูเกิล แบน หัวเว่ย เกิดขึ้นจริง ผลกระทบในทางลบที่จะเกิดขึ้นกับ คอมเซเว่น จะน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบัน เรามีสัดส่วนยอดขาย หัวเว่ย เพียง 3% ของรายได้รวมทั้งหมด ขณะเดียวกัน หากเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น คอมเซเว่น ก็มั่นใจว่า จะเป็นโอกาสขยายตลาดสมาร์ทโฟนแบรนด์ หัวเว่ย และแบรนด์อื่นๆ ได้อีกมาก” นายสุระกล่าว