กพร. ย้ำ พ.ร.บ.แร่ ฉบับใหม่ เป็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่

22 มี.ค. 2559 | 10:24 น.
[caption id="attachment_39779" align="aligncenter" width="299"] นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ชาติ หงส์เทียมจันทร์[/caption]

นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.)กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ...  และเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559  ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... แล้วนั้น   เหตุผลสำคัญในการยกร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... นี้  เพื่อเป็นการปรับปรุงกฎหมาย 2 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยแร่ หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. 2509  ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ทำให้บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน  จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุง โดยนำหลักการของกฎหมายทั้งสองฉบับมาบัญญัติรวมไว้ในฉบับเดียวกัน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่และการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่เป็นไปอย่างมีระบบ

ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... นี้ ได้คำนึงถึงบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งได้นำบทเรียน ปัญหา และอุปสรรคของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในอดีต  พร้อมทั้งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน มาเป็นกรอบในการกำหนดหลักเกณฑ์อย่างครบถ้วน  โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... ที่แตกต่างจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510  ได้แก่

1.  กำหนดให้รัฐมีหน้าที่ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่อย่างเป็นระบบและมีการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรม  เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ  สังคม และผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โดยกำหนดให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการแร่  และต้องปรับปรุงข้อมูลทุก 15 ปี  รวมทั้งต้องเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนทราบ ตลอดจนผูกพันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามที่กำหนดในแผนแม่บทดังกล่าว

2.  กำหนดให้มีการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการแร่และส่งเสริมให้องค์กรปกครอง   ส่วนท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแร่  โดยแก้ไขอำนาจในการออกประทานบัตร จากเดิมที่เป็นอำนาจการอนุญาตของรัฐมนตรีให้เป็นการอนุญาตในรูปแบบของคณะกรรมการ และแบ่งการทำเหมืองออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การทำเหมืองประเภทที่ 1 เป็นเหมืองขนาดเล็ก  ให้เป็นอำนาจการอนุญาตของคณะกรรมการแร่จังหวัด   การทำเหมืองประเภทที่ 2 เป็นเหมืองขนาดกลาง  และการทำเหมืองประเภทที่ 3 เป็นเหมืองขนาดใหญ่  ให้เป็นอำนาจการอนุญาตของคณะกรรมการแร่ในส่วนกลาง  ซึ่งการกำหนดเหมืองแร่แต่ละประเภทจะคำนึงถึงพื้นที่  ชนิดแร่  ลักษณะทางธรณีวิทยา  วิธีการทำเหมือง  และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ทั้งนี้ คณะกรรมการแร่แต่ละคณะจะมีผู้แทนจากองค์กรเอกชนและองค์กรชุมชนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการแร่ด้วย และในขั้นตอนการขอสิทธิทำเหมืองแร่จะต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้เกิดดุลยภาพระหว่างการประกอบการอุตสาหกรรมแร่กับการคุ้มครองรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

3.  กำหนดให้การพิจารณาอนุญาตของรัฐมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้และเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ยิ่งขึ้น  โดยกำหนดให้ผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้แทนองค์กรเอกชนและผู้แทนองค์กรชุมชนซึ่งเป็นตัวแทนผู้มีส่วนได้เสียภาคประชาสังคม และประธานสภาการเหมืองแร่หรือผู้แทนซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการ เข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการแร่และคณะกรรมการแร่จังหวัด  ซึ่งทำให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจของภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่และสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น

4.  กำหนดให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรแร่ให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม  โดยกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรผลประโยชน์ให้กับท้องถิ่นซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งการสำรวจแร่และพื้นที่ตั้งการทำเหมืองแร่ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่ติดต่อกับเขตเหมืองและได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง  โดยแบ่งเป็นเงินผลประโยชน์พิเศษตอบแทนแก่รัฐที่เรียกเก็บจากผู้ยื่นคำขอสำรวจแร่ตามอาชญาบัตรพิเศษและการขอประทานบัตร  ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐกรณีรัฐได้นำพื้นที่ที่มีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจออกประมูล  และเงินค่าภาคหลวงแร่ จัดสรรตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  นอกจากนี้ ได้มีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่รัฐจะเรียกเก็บตามกฎหมายแร่ให้สูงขึ้น 100 เท่าจากอัตราตามกฎหมายปัจจุบัน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

5.  กำหนดให้มีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบการอุตสาหกรรมแร่      ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  โดยการทำเหมืองต้องมีการวางหลักประกันหรือการจัดตั้งกองทุนการฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทำเหมือง  เพื่อเป็นการวางแผนป้องกันไว้ล่วงหน้า  หากเกิดปัญหาผู้ทำเหมืองไม่เยียวยาหรือไม่ฟื้นฟูพื้นที่รัฐจะนำเงินจากกองทุนหรือหลักประกันมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ  นอกจากนี้  กำหนดให้มีหลักความรับผิดชอบทางแพ่งอย่างชัดเจน  โดยกำหนดให้รัฐมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษจากผู้ทำเหมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองในเขตห้ามทำเหมือง  นอกเหนือจากความรับผิดทางอาญาแล้ว ยังต้องรับผิดทางแพ่งเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าแร่ที่ได้จากการทำเหมืองในบริเวณนั้น

6.  กำหนดบทลงโทษให้สูงขึ้น  เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการฝ่าฝืนกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยปรับปรุงบทลงโทษทางอาญาในเรื่องของโทษปรับให้สูงขึ้น 30 เท่าจากกฎหมายในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... ฉบับนี้ ให้ความสำคัญกับภาคประชาชนเป็นอย่างมากในการส่งเสริมสนับสนุนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศอย่าง  เป็นระบบ ตั้งแต่การจัดทำแผ่นแม่บทบริหารจัดการแร่  การอนุญาต  การกำกับดูแล  และการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบการ  โดยมุ่งหวังให้ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ... นี้ เป็นการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชาชน โดยคำนึงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่อย่างยั่งยืนต่อไป