ศาล รธน. สั่งยุบพรรค ทษช. ตัดสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 10 ปี และไม่สามารถไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้อีก
เมื่อเวลา 15.07 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องที่ กกต. ยื่นเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 ฐานกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากกรณีเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
โดยศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย วางหลักการพื้นฐานไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ที่ให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองและเป็นกลางทางการเมือง เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย และรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับยึดหลักการพื้นฐานนี้สืบเนื่องต่อมาโดยลำดับ
การเสนอชื่อบุคคลที่พรรค ทษช. จะสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาแข่งขันในทางการเมือง จึงเป็นการกระทำที่เล็งเห็นผล มีผลทำให้หลักการพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกเซาะบ่อนทำลายให้เสื่อมทรามลงโดยปริยาย
ผู้ถูกร้องจะอ้างว่า ที่ดำเนินการไปเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพไม่ได้ เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่ใช่สิทธิเสรีภาพที่สั่นคลอนหลักการพื้นฐานการปกครอง รัฐธรรมนูญของของนานาประเทศทั่วโลก ล้วนมีบทบัญญัติกลไกป้องกันไว้ ที่จะต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพที่กลับมาทำลายหลักการพื้นฐานตามประเพณีการปกครองเสียเอง เมื่อนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง ทำให้สูญเสียความเป็นกลางทางการเมือง ก็ไม่อาจดำรงความเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยได้อีกต่อไป
รวมถึงจะยกเรื่องเจตนาขึ้นมาอ้างมิได้ เพราะอาจเพียงแค่เป็นปฎิปักษ์ ไม่ต้องให้ถึงกับเกิดผลให้เป็นความเสียหายในทันที ก็ต้องป้องกันไว้แต่เพียงเริ่มต้น มิให้ฮือโหมเป็นความเสียหายใหญ่โตได้ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์เป็นเงื่อนไขทางภววิสัย ไม่ขึ้นกับความต้ังใจหรือเจตนา แม้เพียงเป็นการกระทำที่ทำให้ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ก็เข้าข่ายเป็นการกระทำที่เป็นปฎิปักษ์ได้แล้ว
"การกระทำของผู้ถูกร้องที่นำผู้ใกล้ชิดพระบรมราชจักรีวงศ์มาดำเนินการ เป็นการเล็งเห็นผลเพื่อการแข่งขันทางการเมือง ที่สุ่มเสี่ยงทำให้สถานะสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องอยู่เหนือการเมืองและเป็นกลางทางการเมืองต้องสูญเสียไป เข้าข่ายการกระทำตามมาตรา 92 (2) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคการเมือง"
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติ 6:3 ให้ตัดสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ของคณะกรรมการบริหารพรรค ทษช. ที่ร่วมมีมติเสนอชื่อเป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันมีคำวินิจฉัย และมีมติเอกฉันท์ห้ามกรรมการบริหารพรรค ทษช. ในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่เป็นเวลา 10 ปี
หลังศาลมีคำวินิจฉัย ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ทษช. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสั้น ๆ ว่า ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้พรรคไทยรักษาชาติ พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล และน้อมรับพระราชโองการไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมด้วยความจงรักภักดี รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ทั้งนี้ อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปในทางที่ดี ไม่ว่าตนจะมีสถานะอย่างไรก็พร้อมทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ
ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว มีผลให้ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค ทษช. ทั้งหมด ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากไม่มีพรรคสังกัด และบัตรลงคะแนนที่ลงให้ผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) จะถือเป็นบัตรเสีย