สภาพัฒน์แถลงจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัว 3.7% ทั้งปี 2561 เศรษฐกิจขยายตัว 4.1% ส่งออกมูลค่าเพิ่มขึ้น 7.7% คาดทั้งปีนี้ ขยับตัวได้ 4.0%
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ พร้อมผู้บริหารสศช.ร่วม แถลงข่าวตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ทั้งปี 2561 และแนวโน้มปี 2562 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ขยายตัว 3.7% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้า เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยไตรมาส4ขยายตัวจากไตรมาส3ของปี 2561(QoQ_SA) ที่ 0.8%รวมทั้งปี 2561เศรษฐกิจไทยขยายตัว 4.1% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัว 4.0% ในปี 2560
เลขาธิการสภาพัฒน์กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยรวมทั้งปี 2561 ขยายตัว 4.1% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัว 4.0% ในปี 2560 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเร่งขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน 4.6% การลงทุนภาคเอกชน 3.9%และมูลค่าส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 7.7% และการลงทุนรวมขยายตัว 3.8%
"จีดีพีทั้งปี2561ขยายตัว 4.1%ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 4.2% นั้นสาเหตุจากการลงทุนภาครัฐไตรมาส 4 ติดลบ 0.1% แม้จะมีการบริโภคเอกชนการลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกปรับตัวดีขึ้น"
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2562 คาดว่าจะขยายตัว 4.0%(กรอบ3.5-4.5%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังขยายตัวในเกณฑ์ดีตามการปรับตัวดี
ขึ้นและกระจายตัวมากขึ้นของรายได้และการจ้างงาน การปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนมูลค่าขอรับบีโอไอเพิ่มขึ้นและความคืบหน้าโครงการลงทุนที่สำคัญ รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐโดย
คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัว 4.1% การบริโภคเอกชนการลงทุนรวมขยาย 4.2% และ 5.1% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.5-1.5% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเกินดุล 6.2% ของจีดีพี
"เรายืนประมาณการจีดีพีปีนี้ที่ 4.0%โดยรอผลเจรจาการค้าและผลเลือกตั้งในประเทศซึ่งเมื่อ2ปัจจัยมีความชัดเจนสศช.จะทบทวนประมาณการอีกครั้งแต่ภายใต้สมมติฐานถ้าภาคส่งออกหาตลาดใหม่สามารถขยายตัวได้เพิ่ม5% จำนวนนักท่องเที่ยวกว่า40ล้านคนทำรายรับได้2.2ล้านล้านบาท. การใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าและมาตรการส่งเสริมการลงทุนซึ่งรอจังหวะจะกลับมาหลังเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562"
ต่อข้อถามทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนนั้นนายวิชญายุทธ บุญชิตรองเลขาธิการสศช.กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าเป็นผลพวงจากการปรับทิศนโยบายการเงินของสหรัฐ เงื่อนไขเศรษฐกิจสหรัฐไม่ว่าประเด็นชัตดาวน์หรือธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย1-2ครั้ง(บางแห่งคาดเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว)จากเดิมคาดไว้ 2-3 ครั้งซึ่งการปรับทิศทางขึ้นดอกเบี้ยของเฟดทำให้นักลงทุนเปลี่ยนมุมมองและเงินทุนไหลออกจากสหรัฐและส่งผลค่าเงินบาทอย่างไรก็ตามถ้าเฟด
ขึ้นดอกเบี้ยและออกพันธบัตรชดเชยมาตรการทางการคลังครึ่งปีหลังเงินมีโอกาสอ่อนค่าบ้างโดยทั้งปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจปีนี้ถ้าอัตราเบิกจ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจกลับสู่ปกติยังมีงบประมาณจากการเลือกตั้งและงบหาเสียงต่อคนต่อพรรคเบ็ดเสร็จตัวเลขรวมราว 2-3 หมื่นล้านบาทคิดเป็นประมาณ 0.1-0.2% ของจีดีพี