"ผมเป็นคนที่รับไม้ต่อจากคุณพ่อ ผมจะไม่มีทางทำให้คุณพ่อผิดหวังและเชื่อว่าทุกคนจะสนับสนุนผมไม่มากก็น้อยในทุก ๆ ด้าน คุณพ่อสอนผมให้เข้มแข็งและเป็นคนดูแลครอบครัวมานานมาก ท่านมีวิธีการสอนให้ผมเติบโตแบบไม่รู้ตัว ท่านเป็นแบบอย่างในการทำงานและใช้ชีวิต ซึ่งทุกอย่างอยู่ในตัวผมแล้ว วันนี้ท่านฝากงานชิ้นใหญ่ที่สุดไว้ให้ ผมจะดูแลรักษามันให้ดีเท่าที่ความสามารถจะทำได้" อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
[caption id="attachment_341305" align="aligncenter" width="389"]
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา[/caption]
นี่เป็นคำพูดส่วนหนึ่งในการโพสต์เปิดใจผ่านอินสตาแกรม (IG) เป็นครั้งแรกของ
"ต๊อบ-อัยยวัฒน์" หลังโศกนาฏกรรม
"เจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา" มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของไทย เจ้าของอาณาจักร 1.6 แสนล้านบาท ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและการสร้างความมั่นใจให้พนักงานคิงเพาเวอร์, แฟนบอลของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงสาธารณชน ให้เชื่อมั่นถึงการทำงานต่าง ๆ ซึ่งจะยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ไร้เงาเจ้าสัววิชัยแล้วก็ตาม
ดันท็อป 5 ดิวตี้ฟรีโลก
การวางตัว
"อัยยวัฒน์" ให้มานั่งแท่นคุมบังเหียนธุรกิจของตระกูลศรีวัฒนประภา เป็นเรื่องที่มีการปูทางไว้ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นการวางตัวทายาทหลัก โดยการเห็นพ้องกันในกลุ่มทายาททั้ง 4 คน ให้เข้ามาเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนธุรกิจ เพราะเจ้าสัววิชัยก็เริ่มมองถึงการเกษียณอายุ จึงต้องการทำงานให้น้อยลง โดยมองว่า ถึงเวลาที่ธุรกิจต้องรันโดยคนรุ่นใหม่แล้ว เพราะวันนี้เป็นโลกของเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่ที่รู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดีมาช่วยทำงาน ผลักดันการขายสินค้าดิวตี้ฟรี
นี่เป็นเหตุผลที่ได้ให้บทบาทคุณต๊อบมานั่งคุมการบริหารธุรกิจ "คิง เพาเวอร์" เต็มตัว มาตั้งแต่ปี 2559 ในฐานะซีอีโอ และขยับมาคอยเป็นที่ปรึกษา เพื่อหันไปทุ่มเทกับเลสเตอร์ ซิตี้ และกีฬาโปโล อย่างที่ชอบได้เต็มที่
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น แม้จะสร้างความสูญเสีย แต่ธุรกิจและชีวิตต้องเดินต่อ ซึ่งก็เป็นภารกิจหินที่คุณต๊อบต้องแสดงฝีมือในการนำพาองค์กรและสานต่องานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ที่ตัวคุณต๊อบเองและเจ้าสัววิชัยได้วางไว้ ทั้งในแง่ธุรกิจดิวตี้ฟรีของ
"คิง เพาเวอร์" เองและการทำงานในสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ต่อจากนี้
ในแง่ธุรกิจดิวตี้ฟรี ไม่เพียง
"คิง เพาเวอร์" จะต้องช่วงชิงการประมูลดิวตี้ฟรีและรีเทลในสนามบินหลักของไทย โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิ, เชียงใหม่, ภูเก็ต, หาดใหญ่ ที่จะหมดสัญญาพร้อมกันในปี 2563 เพื่อรักษา ยอดขายปีละกว่า 3.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจที่จะขับเคลื่อนแผน 5 ปี ที่วางเป้าหมายผลักดันธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ก้าวสู่ท็อป 5 ในธุรกิจปลอดอากรระดับโลกภายใน 5 ปี จากที่อยู่ระดับ 7 ของโลก ซึ่งคิงเพาเวอร์ต้องสร้างการเติบโตของรายได้ปีละ 20% เพื่อให้สามารถมีรายได้ในธุรกิจดิวตี้ฟรีอยู่ระดับราว 1.3 แสนล้านบาทได้
รักษาชั้นพรีเมียร์ ลีก
ส่วนในแง่ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เป้าหมาย คือ การทำทีมฟุตบอลนี้ให้ยังคงยืนหยัดอยู่ในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งคุณต๊อบเองก็บอกเสมอว่า การทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ ก้าวจากแชมเปี้ยนชิพมาสู่พรีเมียร์ลีกได้ก็ว่ายากแล้ว แต่ที่ยากยิ่งกว่า คือ การรักษาสถานะให้อยู่ในพรีเมียร์ลีกได้ต่อไป เพราะเป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างมูลค่าของทีม ที่วันนี้มูลค่าของสโมสรปาเข้าไปร่วม 1.5 หมื่นล้านบาทแล้ว หากเทียบกับช่วงปี 2553 ที่เจ้าสัววิชัยจะเข้าไปซื้อที่มีภาระหนี้ร่วม 103 ล้านปอนด์ ดังนั้น หากสโมสรอยู่ในพรีเมียร์ลีกนานแค่ไหน เงินลงทุนที่ใส่ไปมากแค่ไหน ก็จะกลับมามากเท่านั้น
อีกทั้งการรักษาชั้นพรีเมียร์ลีกของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ยังมีส่วนในการต่อยอดธุรกิจดิวตี้ฟรีของ คิง เพาเวอร์ ทั้งเรื่องของการโปรโมตแบรนด์ คิง เพาเวอร์ ไปทั่วโลก รวมไปถึงการขยายไลน์สินค้าที่ระลึกภายใต้แบรนด์เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกนำมาขายในดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ด้วย
ขยายการลงทุนในเลสเตอร์
ทั้ง
"คิง เพาเวอร์" เอง
ยังมีแผนขยายที่นั่งในสนาม "คิง เพาเวอร์" สเตเดียม เพิ่มอีกราว 1 หมื่นที่นั่ง จาก 3.2 หมื่นที่นั่ง เป็น 4.2 หมื่นที่นั่ง ทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังได้ไปซื้อที่ดินรอบข้างสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดียม โดยลงทุนซื้อที่ดินราว 6 เอเคอร์ มูลค่าราว 3 ล้านปอนด์ โดยมีแผนจะลงทุนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับฟุตบอลและตอบสนองชาวเมือง ซึ่งยังบอกชัดเจนไม่ได้ว่าจะเป็นโรงแรม อีเวนต์
ปั้นเลสเตอร์ อคาเดมี
รวมไปถึงการพัฒนา
"เลสเตอร์ อะคาเดมี" เพราะเจ้าสัววิชัยเคยกล่าวว่า ด้วยความที่เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่มีเจ้าของเป็นคนไทย คงจะไม่สามารถลงทุนมากมายในการซื้อนักแตะ สิ่งสำคัญ คือ การพัฒนาเลสเตอร์ อะคาเดมี เพื่อปั้นนักบอลให้กับสโมสร
ทั้งคุณต๊อบยังมีภารกิจที่จะสนับสนุนให้เยาวชนไทย มีโอกาสเติบโตในสายอาชีพนักบอล และเป็นกำลังสำคัญในการ นำพาทีมชาติไทยไปบอลโลก ผ่านโครงการ
"Fox Hunt Leicester City Academy" ซึ่งได้ให้ทุนเยาวชนไทยไปศึกษาระดับไฮสกูล และไปฝึกฟุตบอลกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าสัววิชัยตั้งเป้าไว้ว่าจะทำโครงการนี้ต่อเนื่อง โดยหวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ หรือ ภายในปี 2569 จะส่งเยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการได้รวม 100 คน เฉลี่ยปีละ 10 คน
ทั้งหมดเป็นภารกิจและบทพิสูจน์ฝีมือของผู้นำในยุคเจเนอเรชัน 2 ที่ต้องเข้ามารับไม้ต่อในการขับเคลื่อนองค์กรหลังจากนี้
รายงาน โดย ธนวรรณ วินัยเสถียร
หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3415 ระหว่างวันที่ 4 - 7 พฤศจิกายน 2561