“ไข้หวัดนก” กลายเป็นโรคประจำถิ่นในภูมิภาคนี้รวมถึงประเทศไทยไปเสียแล้ว หลังจากที่เรามีข่าวเรื่องไข้หวัดนกเมื่อปี 2547 หรือ 14 ปี ที่ผ่านมา ระบาดหนักจนต้องฆ่าเป็ด-ไก่และสัตว์ปีมากถึง 27 ล้านตัว (ตัวเลขการรายงานของรัฐบาลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547) เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค ประชาชนตลอดถึงเอกชนยักษ์ใหญ่ ที่ค้าเป็ด-ค้าไก่ ประสบวิกฤตไปตามๆกัน มาบัดนี้มีข่าว
“ไข้หวัดนกข้ามสายพันธุ์” ระบาดในบางจังหวัดของภาคอีสานดูเหมือนจะลุกลามร้อนเป็นไฟมากขึ้น
แต่ประชาชนถูกปกปิดข้อมูลไม่ได้รับข้อเท็จจริงอันควรทราบ จนกระทั่งเมื่อหน่วยงานรัฐที่ดูแลสุขภาพของคนไทยอย่าง
“กระทรวงสาธารณสุข” ต้องออกมารื้อ
“ขยะใต้พรม” ที่
“กรมปศุสัตว์” ซุกซ่อนความจริงไว้
“โรคไข้หวัดนก” กำลังกลับมาหลอกหลอนคนไทยอีกแล้ว
ชนวนเหตุของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายปีผ่านมา เนื่องจากพบสัตว์ป่วยตายในสวนสัตว์ที่โคราช ซึ่งไม่ใช่นก ไม่ใช่สัตว์ปีก แต่เป็นสัตว์บก อย่างชะมด อีเห็น เสือปลา เสือกระต่าย พังพอนกินปู ซึ่งจากการส่งตรวจพบ 6 ตัวที่มีเชื้อไข้หวัดนก สันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะสัตว์เหล่านั้นกินไก่และนกกระทา หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็มีการสั่งปิดสวนสัตว์ที่โคราช ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเราคงเข้าใจว่า เชื้อไข้หวัดนกมีเฉพาะในสัตว์ปีกเท่านั้น แต่ในครั้งนี้กับปรากฏว่าเชื้อมีการปรับตัวข้ามสายพันธุ์... เรื่องใหญ่ขนาดนี้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอย่าง
“กรมปศุสัตว์” ใยจึงไม่เผยแพร่บอกข่าวให้ประชาชนทราบ
ต้องชื่นชมหน่วยงานในกระทรวงสาธารณะสุข ที่ออกมาเปิดความจริงในเรื่องนี้ เพราะมีความกังวลว่า
“โรคไข้หวัดนก” ที่ระบาดอยู่นี้มีความเสี่ยงติดต่อสู่คนได้ และหากไม่ระวัง ไม่ป้องกัน จะกลายเป็นความเสี่ยงที่อาจติดจาก
“คนสู่คน” และเมื่อถึงเวลานั้นใครจะรับผิดชอบ
แน่นอนเมื่อ
“กรมปศุสัตว์” ถูกแฉเรื่องที่พยายามปกปิดโรคไข้หวัดนกข้ามสายพันธุ์ระบาด และยากที่จะปฏิเสธว่าไม่มีโรคไข้หวัดนกระบาดจริงเพราะเพื่อนบ้านเราอย่างสปป.ลาวก็ประสบกับโรคระบาดนี้ ซึ่งมีความเป็นได้สูงที่ไทยกำลังเผชิญเช่นกัน และ ณ เวลานี้
“กรมปศุสัตว์” เองไม่อาจที่จะหลบหนีความระแคะระคายที่สังคมกำลังตั้งคำถามว่ามีเหตุอันใดที่ต้องปิดบังความจริง ซึ่งพวกท่านบางคนอ้างว่าที่ปกปิดเพราะไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าและการส่งออก ต้องขอบอกว่าคงไม่มีใครเชื่อพวกท่าน นับจากนี้พวกท่านต้องเตรียมรับมือกับคำถามใหญ่และตอบสังคมให้ได้ว่า การที่ท่านเลือกที่จะปกปิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เอาให้ชัดว่าเพื่อผลประโยชน์ชาติหรือต้องการพิทักษ์ผลประโยชน์หลายแสนล้านของ
“เอกชนบางราย” ที่ทำธุรกิจค้าสัตว์ปีกกันแน่
การเปิดเผยความจริงเพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมรับมือและหามาตรการยับยั้งน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดเป็นการเห็นแก้ส่วนรวมมากกว่าเก็นแก่
“พ่อค้าบางราย” ต้องฝากกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เหลียวมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย
ที่นี่ไม่มีความลับ หน้า 14 ฉบับ 3352 ระหว่างวันที่ 29-31 มี.ค. 2561 โดย...เอราวัณ