ประธานส.อ.ท.คนใหม่ ไร้คู่แข่งหลัง “เจน นำชัยศิริ” ประกาศกลางที่ประชุมขอไม่รับการเสนอชื่อเป็นประธาน เผยชัดถอยเพราะอยากให้มีเพียงโผเดียว และไม่ต้องการเห็นส.อ.ท.แบ่งขั้ว
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 มีการประชุมคณะกรรมการสภาอุตสาห กรรมนัดสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกประธานสภาอุตสาหกรรมคนใหม่ในเดือนเมษายนนี้โดยนายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย นั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานในที่ประชุมที่มีสมาชิกเข้าร่วมราว 200-300 คนจากสมาชิกทั้งหมดมีจำนวน 357คน มีเหตุการณ์ไม่คาดหมายเกิดขึ้น
[caption id="attachment_263561" align="aligncenter" width="335"]
เจน นำชัยศิริ[/caption]
ทั้งนี้เนื่องจากภายหลังการประชุมตามวาระเสร็จสิ้น นายเจนได้สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับสมาชิกที่เข้ามาร่วมประชุมโดยประกาศจุดยืนกลางเวทีมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า “มีเรื่องสำคัญจะแจ้ง เรื่องแรก เวลานี้ใกล้เข้าฤดูการเลือกตั้งประธานส.อ.ท.คนใหม่ มีข่าวว่าจะเกิดการแข่งขันกันขึ้น ซึ่งผมต้องการให้ครั้งนี้เหมือน 2 ปีที่ผ่านมาคือมีเพียงโผเดียว และโผนี้ก็เน้นคนที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์และมีศักยภาพเข้ามาช่วยงานของสภาอุตสาหกรรมฯ ซึ่งสมาชิกก็เห็นตรงกัน
ส่วนเรื่องที่ 2 นายเจนพูดเกี่ยวโยงกับเรื่องแรก ว่า “อยากจะฝากรองประธานส.อ.ท.2 ท่านคือคุณมานะผล ภู่สมบุญ รองประธานงานสำนักประธานและคุณธนารักษ์ พงษ์เภตรา รองประธานงานกิจการสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ให้ช่วยดูแลในส่วนของการเลือกตั้งเพราะทั้ง 2 ท่านมีประสบการณ์ มีการทำงานในเรื่องนี้มาตลอด ก็น่าจะมีความเหมาะสมที่จะดูผลตรงนี้”
ส่วนเรื่องที่ 3 “ส.อ.ท. จะมีการพิจารณารายชื่อผู้บริหารส.อ.ท. เพื่อให้ได้ทีมงานที่มีความแข็งแกร่ง สายงานต่างๆ ก็จะหาคนที่เหมาะสมดูแล ตามตำแหน่งต่างๆที่จะตั้งขึ้นมา ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ เห็นตรงกันและจะดำเนินการให้ถูกต้อง”
นอกจากนี้นายเจนยังกล่าวถึงเรื่องที่ 4 ซึ่งเป็นไฮไลต์ว่า “ผมก็มีจุดยืนว่าจะขอไม่รับการเสนอชื่อเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมฯในวาระหน้านี้ และสำหรับวาระนี้ผมก็ขอขอบคุณกรรมการทุกท่านที่ได้เสียสละมาเข้าร่วมประชุมสภาอุตสาหกรรมฯและช่วยกันทำงานจนครบวาระขอขอบคุณครับ” เมื่อสิ้นเสียงกล่าว ทำให้สมาชิกลุกขึ้นปรบมือชมเชยนายเจนถึงสปิริตครั้งนี้
ซึ่งเรื่องนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้ติดต่อไปยังนายเจนก็ได้รับการยืนยันเพียงสั้นๆอีกครั้งว่าต้องการให้มีโผเดียว ไม่มีการแบ่งขั้วแบ่งค่าย จนเกิดความขัดแย้งขึ้น เหมือนปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต (อ่าน : “เจน” ฝากการบ้านประธานส.อ.ท. คนใหม่หน้า 8)
แหล่งข่าวจากสมาชิกในส.อ.ท.ส่วนใหญ่ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณเจน เป็นคนดี โปร่งใส มีความตั้งใจในการทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ การแสดงสปิริตออกมาแบบนี้ต้องขอชมเชย ทำให้ภาพของส.อ.ท.กลับมาสวยงามอีกครั้ง น่าจะยกขึ้นมาเป็นแบบอย่างให้การเมืองไทยได้นำมาใช้
อย่างไรก็ตามเวลานี้เมื่อนายเจน ประกาศชัดไม่รับการเสนอชื่อเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ในวาระหน้านี้ทำให้สปอตไลต์ สาดแสงมาที่ นายสุพันธุ์ อีกครั้งแบบไร้คู่แข่ง เพราะตามขั้นตอนการจะลงสนามแข่งประธานส.อ.ท.คนใหม่ ต้องมีเวลาเดินสายหาเสียงจากสมาชิกสภาอุตสาหกรรมจังหวัด สมาชิกจากกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง1เดือนเศษก็ต้องมีการประกาศชื่อประธานส.อ.ท.คนใหม่ออกมาแล้ว หากระหว่างทางก่อนที่จะถึงวันที่ 9 เมษายน 2561ไม่มีเหตุฉุกเฉินใดๆ เกิดขึ้น นายสุพันธุ์ก็จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานส.อ.ท.คนใหม่อีกครั้ง
[caption id="attachment_263562" align="aligncenter" width="503"]
สุพันธุ์ มงคลสุธี[/caption]
ทั้งนี้ขั้นตอนจากนี้ไปจะต้องผ่านการคัดสรรอีก 2 ด่าน ด่านแรกวันที่ 19 มีนาคม2561 จะเลือกกรรมการส.อ.ท.ที่มีสมาชิกกว่า 10,000 รายทั่วประเทศ คัดเลือกให้เหลือกรรมการเพียง 357 คน ด่านที่ 2 สมาชิกจำนวน 357 คนที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว จะมาเลือกตั้งประธานส.อ.ท.คนใหม่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 เมษายน2561 (อ่าน “เปิดวิสัยทัศน์ประธานส.อ.ท.คนใหม่”หน้า 8)
อนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในปี2555-2557 เกิดศึกในส.อ.ท.แตกแยกออกเป็น 2 ขั้วระหว่างขั้วของนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานส.อ.ท. ที่ถูกร้องให้ออกอ้างไม่ให้การช่วยเหลือสมาชิก ส.อ.ท.อย่างเต็มที่ในเรื่องปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทที่มีผลไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 รวมถึงประเด็นความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับค่าแรง สร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกในส.อ.ท.ต่างจังหวัด
ขณะที่เสียงอีกซีก เป็นขั้วของนายสันติ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และอดีตประธานส.อ.ท.2 สมัย คุมฐานเสียงต่างจังหวัดท่วมท้นถูกเชียร์ให้กลับมานั่งเป็นประธานส.อ.ท.อีกครั้งหลังเว้นวรรคไปกว่า 2 ปี จากความขัดแย้งในยุคนั้น เกิดภาพคนใส่สูตเดินสายประท้วงเกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของส.อ.ท.เสียหายอย่างรุนแรง นับแต่มีองค์กรดังกล่าวเกิดขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,344 วันที่ 1 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2561