สจล.สร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ พร้อมเป็นสถาบันบ่มเพาะแพทย์นวัตกร

12 ต.ค. 2559 | 08:53 น.
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คิดค้นวัตกรรมทางการแพทย์ โชว์ศักยภาพการผสานความรู้ด้านวิศวกรรม การแพทย์ และการสร้างสรรค์นวัตกรรม สนับสนุนเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการสร้างแพทย์นวัตกรเพื่ออนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)  เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านการแพทย์ และสาธารณสุขที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ดูแลประชาชนกว่า 60 ล้านคนอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีการที่ต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยที่จะมีการเจ็บป่วยมากขึ้น รวมถึงเราเป็นประเทศเปิดที่มีผู้มาเยือนมากกว่า 25 ล้านคนต่อปี การพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ต่างๆ จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สำคัญในอนาคตของไทย   สจล. ได้ริเริ่มเตรียมความพร้อมให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่กำลังจะเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรแพทยศาสตร์นานาชาติในปีการศึกษา 2561 จึงมอบหมายให้สำนักบริหารงานวิจัยและนวัตกรรมสจล. ที่มีผลงานเด่นในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ จากทั้งทางด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มาร่วมบูรณาการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหลัก  คือ

ส่งเสริมศักยภาพการผลิตแพทย์ระดับโลก (Global doctors) ที่มีความรู้เชิงวิชาการ ทั้งในด้านการรักษาโรคเฉพาะทางและศักยภาพด้านการวิจัย และพัฒนาด้านการแพทย์และสาธารณสุข , สร้างนวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ตองสนองทั้งแพทย์ และผู้ป่วยทั้งของวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติสจล. และโรงพยาบาลในประเทศ  , การเป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยั่งยืนและครบวงจร เป็นแหล่งข้อมูลด้านสิทธิบัตรและส่งเสริมการผลิตเชิงพาณิชย์

รองศาสตราจารย์ ดร.อิทธิพล แจ้งชัด ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม สจล. กล่าวเสริมว่า “การพัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ของสจล. จะต้องสร้างความยั่งยืนของประเทศไปพร้อมกัน เรามุ่งเน้นให้เพิ่มการใช้วัตถุดิบที่ประเทศไทยมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ส่วนผสมของยางพาราธรรมชาติเพื่อการผลิตอุปกรณ์ทั้งที่เป็นวัสดุสิ้นเปลืองในงานสาธารณสุข เช่น ถุงมือ สายน้ำเกลือชุดฉีดยา และอุปกรณ์ช่วยการตรวจรักษา”

การนำยางพารามาใช้ในการพัฒนา และผลิตอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลืองทางการการแพทย์ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยางพาราได้เป็นอย่างดี  โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยส่งออกยางพาราไปต่างประเทศในรูปแบบยางดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 87% ของผลผลิตยางพาราทั้งหมด ส่วนผลิตสินค้าแปรรูปจากยาง เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงของใช้ต่างๆ คิดเป็นสัดส่วน 13% แต่รายได้จากยางแปรรูปมีมูลค่าเท่าเทียมกันกับการส่งออกยางดิบ การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยางพารา นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราแล้ว ยังช่วยลดการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศ

“สจล. เล็งเห็นประโยชน์ในข้อนี้มานาน และได้มีโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่มีคุณภาพ จนเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้นแบบหลายโครงการ  อาทิ โครงการแบบจำลองฝึกตรวจมะเร็งเต้านมจากโฟมยางธรรมชาติ ที่ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ได้เรียน และประชาชนทั่วไปสามารถฝึกและตรวจเต้านมได้ด้วยตนเองเพื่อเป็นการคัดกรองโรคในเบื้องต้นและเต้านมเทียม ที่มีการผสมผสานยางพาราและซิลิโคนที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความคล้ายคลึงกับธรรมชาติมากที่สุด ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” รองศาสตราจารย์ ดร.อิทธิพลกล่าว

นอกจากนี้สจล. ยังได้พัฒนานวัตกรรมอีกหลายชิ้นงานที่ปัจจุบันได้มีการใช้งานจริงในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่ง ได้แก่  อัลบูมินสมาร์ทเทสท์ นวัตกรรมชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับตรวจอัลบูมินในปัสสาวะโดยใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ให้ความสะดวกรวดเร็ว และแม่นยำไม่ต้องรอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ  แอพพลิเคชั่นตรวจโรคหนังตาตก (iOS Application for Ptosis Diagnosis)  โปรแกรมชุดฝึกกายภาพบำบัดมือและกล้ามเนื้อแขนในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อมือและแขนสามารถฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ด้วยตนเองที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ