คนกระสันอยากเป็น“นายกฯ”มักไม่ได้เป็น

05 ส.ค. 2567 | 06:34 น.
อัพเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2567 | 06:58 น.

คนกระสันอยากเป็น“นายกฯ”มักไม่ได้เป็น : คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย......กาแฟขม หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,015

*** เข้าสู่เดือนสิงหาคม 2567 มีประเด็นการเมืองที่ต้องติดตาม 2 เรื่องใหญ่ วันที่ 7 สิงหาคม2567 ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ และวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ชะตานายกรัฐมนตรีกรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ขัดจริยธรรมหรือไม่

ถ้าผลเป็นลบ จำต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ ซึ่งแน่นอนขุมพลังการเมืองเคลื่อนไหวกันคึกคัก ด้วยความหวังขอเสียบเก้าอี้นายกฯ สักครั้งว่างั้น ทั้งคนบ้านป่า คนขับเครื่องบิน แต่บ้านเมืองไทยแปลก ที่ผ่านมาจะเห็นกันว่าคนกระสันอยากเป็น มักไม่ได้เป็น

 

*** ดึงหัวกระทิกลับประเทศ รัฐบาลประกาศลดภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา เหลือ 17% จูงใจให้มือดี สมองดีที่ไปทำงานตามที่ต่างๆ สิงคโปร์ สหรัฐ ยุโรป ให้กลับเข้ามาทำงานในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพของประเทศ

โดยคนไทยดีๆ เก่งๆ ไปทำงานให้บริษัทฝรั่ง เยอะแยะมากมาย โดยได้กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายดึงตัวคืนกลับ พร้อมกำหนดคุณสมบัติ วุฒิการศึกษาไม่ตํ่ากว่าปริญญาตรี ประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ ไม่ตํ่ากว่า 2 ปี โดยมีเอกสารรับรองการทำงาน จากนายจ้างในต่างประเทศ

*** ต้องเดินทางกลับเข้าประเทศไทยในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานในบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการ อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และได้รับเงินได้ พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

โดยต้องเริ่มทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานในช่วงเวลาวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ประเมินว่า รัฐไม่ได้สูญเสียเงินภาษีเพราะเขาทำงานเมืองนอกไม่ได้เสียภาษีในไทยอยู่แล้ว การลดจูงใจเที่ยวนี้จะเก็บภาษีได้เพิ่มด้วยซํ้าในทางกลับกัน 

*** ก็ต้องดูมาตรการลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดา เพื่อจูงใจดึงมันสมองที่ไหลออกไปทำงานให้บริษัทชั้นนำของฝรั่ง ยุโรป ญี่ปุ่น จีน จะไหลกลับได้บ้างหรือไม่ คนดี คนเก่ง ของไทยมีมาก ในหลากหลายสาขาอาชีพ คนเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเก่งๆ ก็มาก ความจริงอาจไม่ใช่เรื่องภาษีอย่างเดียว ต้องดูสภาพแวดล้อมอย่างอื่นด้วย 

ระบบของไทยไม่ช่วยหนุนส่ง หรือ ปลูกฝังให้คนไทยภูมิใจไทย เปิดโอกาสให้กว้างสำหรับคนไทย มีทางเลือกที่หลากหลายให้คนไทย ที่ผ่านมาระบบแบบไทยๆ พูดถึงการทำธุรกิจ ต้องไปติดต่อกับหลายหน่วยงาน เดินกันจนเมื่อยไม่จบ แต่ละหน่วยถือกฎหมาย เสมือนดาบคอยจ้องฟาดฟัน มันก็เลยเป็นแบบนี้ เรียนจบเมืองนอก หางานทำเมืองนอกเลยดีกว่าแทนการกลับมาทำงานภายใน

*** ด้วยเศรษฐกิจย่อบแย่บ ยุบยับ ประชาชนรอความหวังรัฐบาลแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่แสนยากยุ่ง เปิดลงทะเบียนกันแล้วตั้งแต่ 1 สิงหาฯ-15 กันยาฯ ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนก็เข้าไปโหลดแอพทางรัฐ ได้ทั้งระบบแอนดรอยด์ และ ไอโอเอส แล้วก็ลงทะเบียนเหมือนกับสมัครเปิดบัญชีธนาคารนั่นแหล่ะ ดูแล้วไม่ยุ่งยากอะไรมาก สำหรับพวกที่เปิดๆ ไถๆ หน้าจอสมาร์ทโฟนเล่นเป็นประจำอยู่แล้ว

ยํ้ากันอีกทีผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินดิจิทัล ต้องเป็นประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน สัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (ก่อนวันที่ 16 ก.ย.67) ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท (สำหรับปีภาษี 2566) ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567) ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิ หรือ ถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ ดูกันให้ชัดคุณสมบัติใครผ่าน ใครไม่ผ่าน

*** ทะลุ 20 ล้านคนไปแล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของ รมต.เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช แถลงออกมาแล้วตั้งแต่ ม.ค.-ก.ค.ที่ผ่านมา 7 เดือน มีนักท่องเที่ยวมาไทยแล้ว 20.3 ล้านคน ทำเงินรายได้เข้าประเทศ หรือ มีการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มาไทย 9.57 แสนล้านบาท ใคร ประเทศไหนมามากสุด อันดับ 1 ยังคงเป็น จีน 4,065,109 คน มาเลเซีย 2,837,922 คน อินเดีย 1,186,288 คน เกาหลีใต้ 1,073,792 คน รัสเซีย 996,990 คน ลาว 727,409 คน ไต้หวัน 622,189 คน เวียดนาม 609,423 คน สหรัฐอเมริกา 582,414 คน สหราชอาณาจักร 547,091 คน

คนกระสันอยากเป็น“นายกฯ”มักไม่ได้เป็น

จะเห็นว่าจีนยังรั้งเบอร์ 1 แต่ยังวางใจไม่ได้ ด้วยเศรษฐกิจจีนใช่ว่าจะดี มีการบล็อก การห้ามการใช้เงิน นำเงินออกต่อหัวกันอยู่ในห้วงเวลานี้ ต้องรอดูช่วงพีก ช่วงไฮซีซั่นอีกที ท่องเที่ยวจะเป็นพระเอกในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่