แรงงานไทยเสี่ยงวิกฤติ! สังคมสูงวัย-พึ่งต่างด้าว ชงขยายเกษียณ 65 ปี

12 ส.ค. 2568 | 22:40 น.

ปัญหาด้านแรงงานของไทยเริ่มกลายเป็นความท้าทายและเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับมือให้ทัน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่จะเขย่าการเป็นฐานการผลิตของไทย

สอดคล้องกับที่ก่อนหน้านี้หลายสำนักก็ออกมาฉายภาพว่า เราเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า “เกิดน้อย แก่มาก” บวกกับไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวด้วย จึงเป็นเรื่องความมั่นคงในการใช้แรงงานในระยะยาว นับเป็นความท้าทายที่ไม่อาจกระพริบตาได้

นายวิสูตร พันธวุฒิยานนท์ นายกสมาคมผู้รับเหมาแรงงานแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ในฐานะที่คลุกคลีกับกลุ่มแรงงานถึงความจำเป็นในการเร่งรับมือ

พบ “พงศ์กวิน”แนะรับมือแรงงานขาด

นายวิสูตร กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าพบนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านแรงงานพร้อมเรียกร้องให้พิจารณาปรับฐานการเกษียณอายุงานจากที่มีหลายบริษัทต่างชาติในไทย ให้พนักงานเกษียณอายุการทำงานที่อายุ 55 ปี ซึ่งควรพิจารณาปรับฐานเป็น 60-65 ปี

วิสูตร พันธวุฒิยานนท์ นายกสมาคมผู้รับเหมาแรงงานแห่งประเทศไทย

“เวลานี้พบว่ามีบริษัทญี่ปุ่นที่มาตั้งโรงงานในไทยเกษียณอายุที่ 55 ปี ขณะที่โรงงานในญี่ปุ่นเกษียณอายุที่ 64-65 ปี ซึ่งทางกระทรวงแรงงานรับเรื่องไว้พิจารณา ตามขั้นตอนเมื่อทุกฝ่ายเห็นด้วยก็เสนอเรื่องไปยังสภาฯ เพื่อให้ ครม.เห็นชอบและประกาศเป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานต่อไป”

อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวมองว่าเวลานี้คนที่อายุ 55ปี ยังไม่แก่ และยังมีขีดความสามารถในการทำงานสูง เมื่อเกษียณออกไปพบว่าเงินออมมีน้อย ควรจะมีรายได้ต่อเดือนเพิ่มต่อไปอีก สมมุติว่าพนักงานมีรายได้ตอนอายุ 55 ปี ที่ 50,000 บาทต่อเดือน ได้ทำต่อไปอีก 5 ปีก็จะมีเงินใช้อีก 2.5-3 ล้านบาท ซึ่งเงินตรงนี้จะทำให้เกิดสภาพคล่องในการใช้จ่าย จีดีพีประเทศโตขึ้นและมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยห่วงขาดแคลนแรงงานรุนแรง

แรงงานไทยเสี่ยงวิกฤติ! สังคมสูงวัย-พึ่งต่างด้าว ชงขยายเกษียณ 65 ปี

นายวิสูตร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีแรงงานคนไทยตามมาตรา 33 ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ราว 11 ล้านคน ขณะนี้ภาคเอกชนอยู่ระหว่างขอให้รัฐบาลพิจารณางดจ่ายเงินสมทบภาคนายจ้าง 3-6 เดือนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากนายจ้างได้รับผลกระทบหลักหลายด้าน เช่น กรณีที่สหรัฐปรับฐานภาษีนำเข้า ทำให้สินค้าบางรายการมีอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น19% นอกจากนี้วันที่ 1 ตุลาคมนี้นายจ้างต้องจ่ายเงินกองทุนสมทบลูกจ้างอีก 0.25% ยังไม่รวมผลกระทบจากการแบกรับต้นทุนการผลิตทั้งระบบที่สูงขึ้นอีกรอบด้าน

ก่อนหน้านี้ทาง KKP Research เคยคาดไว้ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า (ปี 2050) ประเทศไทยจะขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง เพราะเวลานั้นประเทศไทยก็เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มตัว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อย้อนมาดูสัดส่วนประชากรสูงวัยในไทยก่อนหน้านี้ คนไทยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนสูงกว่า 14% แล้วโดยตัวเลข 14% หมายถึง ประเทศไทยผ่านเกณฑ์การเข้าสู่สังคมสูงอายุแล้ว เหมือนกับที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และชาติตะวันตกหลาย ๆ ชาติ

อีกทั้งแรงงานในประเทศไทยส่วนหนึ่งเราต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวก็จะเป็นเรื่องความมั่นคงในการใช้แรงงานในอนาคตและในระยะยาว ยกตัวอย่างกรณีแรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาอยู่ในไทยราว 500,000 คน ในจำนวนนี้ขึ้นทะเบียนถูกต้องราว 300,000 คน อีกราว 200,000 คนเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ล่าสุดจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีแรงงานกัมพูชากลับประเทศแล้วราว 40,000 คน

“ในแง่สมาคมผู้รับเหมาแรงงานแห่งประเทศไทย ซึ่งมีแรงงานหมุนเวียนในระบบราว 800,000 คน ไม่ได้รับผลกระทบจากที่แรงงานกัมพูชากลับประเทศ เนื่องจากตามกฏหมายระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามใช้แรงงานต่างชาติ ดังนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ,เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่น ๆไม่ต้องกังวลถึงปัญหานี้”

หาแรงงานเอาต์ซอร์ซยากขึ้น

นายวิสูตร กล่าวทิ้งท้ายว่า ยิ่งมีคนทำงานมากเท่าไร ผลิตผลของประเทศก็จะเพิ่มขึ้น นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีโอกาสยกระดับประเทศจากประเทศกลุ่มรายได้ปานกลาง สู่ประเทศรายได้สูง แต่เวลานี้ประเทศไทยจำนวนแรงงานจะน้อยลงและไม่มีมาตรการรับมือ ประสิทธิภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะลดลงด้วย

“ยอมรับว่า สถานภาพแรงงานไทยในขณะนี้ น่าเป็นห่วงแรงงานเอาต์ซอร์ซ  (แรงงานที่บริษัทจ้างจากบุคคลภายนอก) นับจากนี้จะหายากขึ้น เนื่องจากจะมีแรงงานจำนวนมากทยอยเกษียณอายุ และแรงงานกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดจะอยู่ในบริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย”