หวั่น“ภาษีทรัมป์” กระทบซัพพลายเชน "ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์" ตลาด 2.7 หมื่นล้านดอลล์สะเทือน

23 ก.ค. 2568 | 04:40 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2568 | 04:53 น.

ประเทศไทย เป็น 1 ใน 14 ประเทศแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่อนจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ หากไม่มีเหตุอันใดต้องเปลี่ยนแปลงอีก ก็จะเริ่มเก็บจริงนับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ เป็นต้นไป

เรื่องดังกล่าวสร้างความวิตกให้กับผู้ส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งออกไปยังสหรัฐในลำดับต้น ๆ

ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และเลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส.อ.ท.ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงข้อกังวลที่กำลังเกิดขึ้นโดยเฉพาะขีดความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ดร.วิบูลย์ ประเมินผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทยจากภาษี 36%ว่าอิเล็กทรอนิกส์ไทย ส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกาสัดส่วนประมาณ 8% (มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ) ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมของประเทศไทย

หวั่น“ภาษีทรัมป์” กระทบซัพพลายเชน "ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์" ตลาด 2.7 หมื่นล้านดอลล์สะเทือน

ทั้งนี้ส่วนที่ได้รับผลกระทบต้องดูลึกลงไปในรายละเอียด เพราะในส่วนนี้มีทั้งบริษัทอเมริกันที่มาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้วส่งกลับไปสหรัฐ และการลงทุนจากชาติอื่น ๆ ที่มาตั้งฐานการผลิตในไทย ซึ่งขณะนี้บางส่วนได้รับข้อยกเว้นจากภาษี 36% ดังนั้นผลกระทบในแง่ส่งออกก็จะน้อยกว่า 27 billion US (27,000 ล้านดอลลาร์)

ภาษีสูงเสียเปรียบมาเลย์- เวียดนามทันที

สำหรับไทยถ้าฐานภาษีเข้าสหรัฐสูงกว่า มาเลเซีย เวียดนาม หรือแม้กระทั่ง ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ไทยก็คงเสียเปรียบ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือผลกระทบ 3 อย่างที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนี้

1.กลุ่มที่รับจ้างผลิตชิ้นส่วนให้กับลูกค้าที่อเมริกา ก็จะเสียออร์เดอร์ไป ซึ่งยังไม่มีตัวเลขชัดเจนว่าจะเป็นเท่าไหร่ แต่ก็คงเกิดขึ้นภายในปีนี้แน่นอน ซึ่งจะมีผลกระทบกับจีดีพีไทยในปีนี้ด้วย

2.กลุ่มที่ส่งออกชิ้นส่วนไปที่ตลาดอเมริกา ซึ่งก็จะทำให้มูลค่าการส่งออกตรงนี้ลดลงทันที อันนี้ น่าจะเห็นผลในปีนี้เช่นกัน

3.ส่วนผลกระทบของการลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย อันนี้น่าจะเห็นผลปีหน้า

“หากแยกย่อยออกมาแบบนี้ ก็จะเห็นว่า ผลกระทบมันจะออกมาเป็นระลอกมากกว่าที่จะมีตูมเดียวเหมือนทิ้งระเบิด”

เร่งกระจายความเสี่ยงตลาดอื่น

เมื่อถามถึงแผนรับมือ ดร.วิบูลย์ ประเมินว่าระยะสั้นคงไม่มีอะไรนอกจากรอดูว่า ผลการเจรจากับสหรัฐ อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ไทยจะได้รับจะสามารถลดลงจากระดับ 36% ได้มากน้อยแค่ไหน ส่วนที่เหลือ คงเป็นเรื่องการ diversify (กระจายความเสี่ยง) ตลาดออกไปสู่ตลาดอื่น ๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการทำเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องค่าแรงที่สูงขึ้น แรงงานฝีมือที่ขาดแคลน เศรษฐกิจดิ่งเหว เป็นอุปสรรคกับอุตสาหกรรมนี้มากน้อยเพียงใดนั้น ยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหามาตลอด โดยเฉพาะเรื่องการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่สามารถนำคนที่ใช้แรงงานแบกหาม หยิบของลงกล่องอะไรแบบนี้มาทำงานนี้ได้ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการคนที่มีทักษะพื้นฐานสูงประมาณหนึ่ง รวมไปต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งประเทศไทยไม่ค่อยแข็งแรงด้านนี้ แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีที่ทางภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีการทำงานร่วมกับทางสภาอุตสาหกรรมฯในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหวังว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น

ความต้องการไอซียังพุ่งแรง

สำหรับการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังสหรัฐในปีนี้ คาดมูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์โดยทั่ว ๆ ไป จะลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 5% แต่บางสินค้าเช่น ไอซี (แผงวงจรรวม) จะเพิ่มขึ้น เพราะความต้องการไอซี สูงขึ้นจากดีมานด์ด้าน high tech electronic

อย่างไรก็ตามอยากจะให้ทุกภาคส่วนลดความตระหนกจากเรื่องภาษีของสหรัฐ และให้ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ว่า ไม่มีอะไร “วิน วิน” และคงจะไม่มีอะไรกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นเราคงต้องมองถึงความเป็นไปได้ในการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาให้น้อยลง