การสูญเสียครั้งนี้เกิดคำถามขึ้นในสังคมทันที ทั้งคำถามมีปัญหาคอรัปชั่นหรือไม่เส้นทางการประมูลโปร่งใสหรือไม่ การใช้วัสดุก่อสร้างได้มาตรฐานแค่ไหน มีฮั้วประมูลเกิดขึ้นหรือไม่ และใครรับผิดชอบ?
ทุนจีนระบาดหนักทุกรูปแบบ
อันที่จริงคำว่าสินค้าไม่ได้มาตรฐานจากจีนเกิดขึ้นในประเทศไทยมานานหลายปีแล้ว ทั้งของกินของใช้ ร้านอาหาร ล้งผลไม้ (ขายทุเรียนอ่อน) ระบาดไปทั่ว เพียงแต่โทษหรือผลที่ผู้บริโภคได้รับยังไม่ปรากฎรุนแรง แค่เสียโอกาสการแข่งขันไป เมื่อเทียบกับกรณีตึก สตง.ถล่ม มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก เลยกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกภาคส่วนลงไปตรวจสอบทุกแง่มุม
ย้อนไทม์ไลน์อุตสาหกรรมเหล็ก
ถ้าไล่เลียงแบบย่นระยะเวลาลงมา จะพบว่าไทม์ไลน์ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเหล็กเจอมรสุมรอบด้านโดยเฉพาะการต่อสู้กับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและ “โจทย์หิน” เริ่มเกิดขึ้นทันทีที่ทุนจีนบุกหนักส่งเหล็กราคาถูกตีตลาดไทยต่อเนื่อง และถ้าปีใดที่จีนมีกำลังผลิตล้นตลาด ก็จะมีเหล็กจีนทะลักเข้ามาในอาเซียนจำนวนมาก รวมถึงไทยที่ตกเป็นเป้าสำคัญ เพราะนำเข้ามาง่าย กฎหมายอ่อน มาตรการปกป้องไม่ทันท่วงที อีกทั้งเปิดช่องโหว่ให้สินค้าจีนซิกแซกเล่นเกมเลี่ยงภาษี ทำให้เหล็กราคาถูกเข้ามาดัมพ์ตลาดเรื่อยมาแบบแรงไม่แผ่ว ขณะที่การจับกุมกวาดล้างรับมือไม่ทันกับสถานการณ์ที่นานวันยิ่งรุนแรงมากขึ้น
กระทั่งในเวลาต่อมาทุนจีนก็ยกระดับการค้าโดยขนเครื่องจักรเก่าที่ “โละทิ้ง” จากจีน ผ่านอายุการใช้งานมาแล้วร่วม 20-30 ปี เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย ยึดไทยเป็นฐานการผลิตแทนการนำเข้าเบ็ดเสร็จ กลายเป็นว่าการแข่งขันทุกวันนี้ต้องเจอทั้งเหล็กจีนที่ผลิตในจีน และเหล็กจีนที่ผลิตในไทย ตีตลาดไทยแบบไม่เป็นท่า
นโยบายเหล็กในจีน
อย่างที่รู้กันว่าเมื่อหลายปีก่อนจีนออกมาจัดระเบียบอุตสาหกรรมเหล็กใหม่ ไล่ตั้งแต่แผนระบายเหล็กออกนอกประเทศจีนเพื่อลดการล้นตลาดภายใน โดยมีรัฐบาลให้การอุดหนุนทางภาษี ต่อเนื่องด้วยการออกมาประกาศยกเลิกการหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ Induction Furnace หรือ IF เป็นระบบที่หลายประเทศไม่ใช้แล้ว เพราะสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ซึ่งในขณะนั้นจีนเผชิญปัญหามลพิษปกคลุมทั่วเมืองอย่างรุนแรง
จากมาตรการดังกล่าวสร้างความโล่งใจให้กับผู้เล่นในตลาดเหล็กของโลก ที่หวังว่าจีนจะส่งเหล็กออกมาทุ่มตลาดได้ลดลง แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม เพราะนอกจากจีนยังส่งเหล็กราคาถูกออกมาตีตลาดยับเยินแล้ว ทุนจีนยังยกระดับด้วยการหอบเงินทุนออกมาตั้งฐานผลิตเหล็กนอกประเทศ ซึ่งไทยก็อ้าแขนรับทั้งที่รู้ว่าเครื่องจักรที่โยกย้ายมานั้นถูกใช้งานมาหลายทอด และเป็นเครื่องจักรเก่าที่สร้างปัญหามลพิษ
กูรูเหล็กตอกยํ้าเจ็บปวด
สอดคล้องกับที่หนึ่งในกูรูวงการเหล็กตอกยํ้าด้วยความเจ็บปวดว่า “บ้านเราอ้าแขนรับทุนนอกแบบไม่ลืมหูลืมตา กระทรวงอุตสาหกรรม (ในยุคนั้น) ปล่อยใบอนุญาต มี มอก.รองรับเสร็จสรรพ บีโอไอให้สิทธิประโยชน์ มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นำเทคโนโลยีที่ประเทศอื่นไม่ใช้แล้วนำมาใช้ รู้ทั้งรู้เป็นเทคโนโลยีที่สร้างปัญหามลพิษในประเทศ และการผลิตด้วยระบบ IF นั้น คุณภาพเหล็กได้แค่สำหรับทำรั้ว หรือสำหรับสร้างบ้านชั้นเดียว ซึ่งในจีนเลิกผลิตด้วยระบบนี้ไปแล้ว เพราะมีเหตุตึกถล่มและสร้างปัญหามลพิษรุนแรง”
“ซิน เคอ หยวน” โตก้าวกระโดด
เมื่อทุนจีนผ่องถ่ายการผลิตที่ถูกปิดห้ามผลิตในจีน ออกมาปักฐานผลิตในอาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทยสำเร็จ ถึงเวลาผลผลิตออกสู่ตลาดชื่อ “ซิน เคอ หยวน” ก็กระฮึ่ม! (ในขณะนั้น) คิกออฟโรงงาน แรกด้วยโรงหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ IF ในจังหวัดระยอง มีเตาหลอมราว 8 เตา ด้วยขนาดกำลังผลิตเหล็กทรงกลม (เช่นเหล็กข้ออ้อย) ราว 6 แสนถึง 1 ล้านตันต่อปีในขณะนั้น ก่อนที่กำลังผลิตจะขยายเพิ่มไต่ไปเกิน 1 ล้านตันต่อปีในปัจจุบัน
ทันทีที่ซิน เคอ หยวน เปิดขายเหล็ก ภาพที่ปรากฎคือ สร้างความปั่นป่วนในตลาด ทำให้บรรดาผู้เล่นในอุตสาหกรรมเหล็กที่มีฐานการผลิตอยู่ก่อนแล้ว ไม่เหลือพื้นที่ยืน วิ่งรับศึกหลายด้านทั้ง การแข่งขันเข้มข้น บวกกับทั่วโลกเผชิญวิกฤตโควิด สงครามระหว่างประเทศ ปัญหานํ้าท่วม อีกทั้งเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องมาผสมโรง สะท้อนถึงผลกระทบทันทีโดยเฉพาะรายที่ใช้ระบบการผลิตจากเตาหลอมด้วยเตาชนิดอาร์คไฟฟ้า (Electric Arc Furnace) หรือ EAF ซึ่งเป็นระบบผลิตที่มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนสูงกว่า ทำให้ราคาเหล็กสูงตาม สุดท้ายผลดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้า เพราะสถานะกำลังผลิตหดเหลือ 30% ของกำลังการผลิตเหล็กโดยรวม
ผู้ผลิตหมดแรงยื้อแห่เลิกกิจการ
สอดคล้องกับในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นผู้ผลิตเหล็ก “หมดทางดิ้นต่อ” ออกมาประกาศ “ยกธงขาว” เริ่มจากลดกำลังผลิต ลดคน ลดชั่วโมงการทำงาน กระทั่งถอยสุดทาง ทยอยออกมาประกาศปิดกิจการต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ล่าสุด บริษัท ยู เอ็ม ซี เม็ททอล จำกัด อีกรายหมดแรงยื้อต่อ ออกมาประกาศปิดกิจการแล้ว เพราะไม่สามารถผลิตเหล็กได้อย่างต่อเนื่องหลายปี บวกกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย แข่งขันไม่ได้ จนประสบภาวะขาดสภาพคล่อง จึงออกหนังสือหยุดกิจการเลิกจ้างพนักงานตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568 และภายในปีนี้คาดว่าจะมีรายใหญ่รายหนึ่งกำลังตัดสินใจถอนเครื่องจักรปิดจ๊อบ น่าจับตาจะย้ายฐานไปไหน หรือใครรับช่วงต่ออาจเป็นรายต่อไป
โตสวนทางผุดเหล็กแผ่นต่อ
ตรงกันข้ามกิจการของซิน เคอ หยวนที่เติบโตอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ปี สามารถครองตลาดเหล็กเส้นในประเทศได้เบ็ดเสร็จ พร้อมลุยต่อด้วยการอัดทุนก้อนใหม่ขยายอาณาจักรเหล็กต่อเนื่องผุดโรงงานผลิตแห่งที่ 2 แต่เป็นการเหล็กแผ่นรีดร้อน ด้วยระบบ IF ที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ทุนจดทะเบียน 6,000 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีกำหนดจะผลิตได้ภายในปีนี้ ด้วยขนาดกำลังการผลิต 5.6-6 ล้านตันต่อปี ก็เป็นอีกส่วนที่จะออกมาเขย่าตลาดในกลุ่มเหล็กแผ่นด้วย เท่ากับกินรวบทั้งตลาดเหล็กทรงกลมและเหล็กทรงแบนในที่สุด
ตึกสตง.ถล่ม ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่สามารถเรียกชีวิตคนจำนวนมากกลับมาได้ เมื่อตรวจพบว่าเป็นหนึ่งในต้นทางปัญหาคือเหล็กไม่ได้มาตรฐาน จากเบื้องต้นพบสัญลักษณ์ SKY ที่บ่งบอกชื่อผู้ผลิตคือ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด เป็นบริษัทเดียวกับที่กระทรวงอุตสาหกรรมเคยสั่งปิดชั่วคราวไปเมื่อปลายปี 2567 พร้อมอายัดเหล็กจำนวนหนึ่งที่ไม่ผ่านมาตรฐานไปแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านั้นบริษัทดังกล่าวก็มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เหมือนยิ่งขุดยิ่งเจอตอ เบื้องต้นพบหลายกระทงทั้งผลิตเหล็กไม่ได้มาตรฐาน ถูกตรวจสอบใบกำกับภาษีปลอม อีกทั้งตรวจพบการขนย้ายฝุ่นแดงในปริมาณที่มากเกินจริง
จุดกำเนิด “ซิน เคอ หยวน” บนเสียงต้านมาตรฐาน สมอ.
“ซิน เคอ หยวน” หากจำกันได้บิ๊กทุนจีนรายนี้ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางเสียงต้านอย่างหนัก เนื่องจากมาตรฐานสมอ.เดิมถูกระบุไว้ชัดเจนว่า การผลิตเหล็กเส้นจะต้องมาจากบิลเล็ต (วัตถุดิบในการผลิตเหล็กเส้น) ที่ผลิตมาจากเตาหลอมด้วยเตาชนิดอาร์คไฟฟ้าหรือ EAF เท่านั้น จนนำไปสู่การวิ่งล็อบบี้แก้ไขมาตรฐานดังกล่าวในเวลาต่อมา
นายพงษ์เทพ เทพบางจาก นายกสมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ตั้งข้อสังเกตว่าการที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นำเหล็ก ที่มาจากการหลอมเศษเหล็กด้วยระบบ IF กับเหล็กที่มาจากเตาหลอมด้วยเตาชนิดอาร์คไฟฟ้าหรือ EAF มาอยู่ใน มอก.เลขเดียวกัน เล่มเดียวกันที่เป็นเหล็กเส้นกลมเหล็กข้ออ้อยในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก
ทั้งนี้คนรู้ว่าระบบ IF ด้อยกว่าก็จริง ราคาต่างกัน คุณภาพต่างกัน แต่ในทางการค้าพอประมูล คนประมูลก็ต้องเลือกของถูก เพราะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ใช้เหล็กมหาศาล คนเสนอราคาก็ต้องเอาของถูกเพื่อจะได้งานจากภาครัฐและเอกชน ก็ยิ่งทำให้ระบบ EAF แข่งขันไม่ได้ ทั้งที่ระบบ EAF เป็นนักเรียนดีเพราะลงทุนสูง พัฒนาเครื่องจักรทันสมัยและรักษาสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นสมอ.ควรแยกไว้คนละเล่มให้ชัดเจนนอกจากนี้ระบบ IF ยังมีปัญหาเรื่องการควบคุมค่าโบรอนที่เติมในเหล็กกล้าด้วย (โบรอน : มีคุณสมบัติคือมีความสามารถในการชุบแข็ง สามารถช่วยทำให้เหล็กแข็งดี) ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยว่า สินค้าไม่มีคุณภาพทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าถือเป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะจะทำลายความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคและนักลงทุนต่างประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสินค้าที่นำเข้ามาหรือผลิตในประเทศต้องทำอย่างตรงไปตรงมา ตรวจเข้มข้นทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับและตรวจทุกลอต (lot) ของการผลิตและสิ่งที่ประเทศไทยต้องทำคือ ทำให้ราคาสินค้าจีน ไม่แตกต่างกับสินค้าไทยมากนัก พร้อมตั้งข้อเสนอแนะ 3 หน่วยงานรัฐ
สุดท้ายฝากวิงวอนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โปรดอย่าล้อเล่นกับชีวิตคน โดยเฉพาะ “เหล็ก” ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ สุดท้ายทุนจีนหนีกลับบ้าน แต่ชีวิตผู้บริโภค ชีวิตคนอีกกี่ชีวิตที่เราเรียกกลับคืนมาไม่ได้ อย่าปล่อยปัญหาเกิดแล้วมาล้อมคอกทีหลัง เพราะมันจะสายเกินไป ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องกลับไปทบทวนทุกกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาในรูปแบบต่างๆ และถึงเวลาแล้วหรือยังที่อุตสาหกรรมใดในประเทศที่มีกำลังผลิตล้นตลาดอยู่แล้ว ก็ไม่ควรปล่อยใบอนุญาตเพิ่มอีก
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,087 วันที่ 13 - 16 เมษายน พ.ศ. 2568