การยื่น “สมุดปกขาว” ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต่อนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 สะท้อนให้เห็นความกังวลของภาคเอกชนต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ชี้ให้เห็นว่าขนาดเศรษฐกิจไทยกำลังจะถูกฟิลิปปินส์และเวียดนามแซงหน้าภายในปี 2571
แม้รัฐบาลจะตอบรับข้อเสนอบางส่วนของภาคเอกชน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่าง “โครงการคูณสอง” และ “Easy e-Receipt” แต่หากพิจารณาจากโครงสร้างปัญหาเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มาตรการเหล่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน
IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 2.8% ในปี 2567 ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดา 5 ประเทศหลักของประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม)
สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก โดยเฉพาะอัตราการลงทุนต่อ GDP ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 21.98% ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาค เทียบกับเวียดนามที่มีอัตราการลงทุนสูงถึง 32-33%
การออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นเพียงอย่างเดียว จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดการลงทุนที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แม้การแบ่งกลุ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามกำลังซื้อของประชาชนจะมีความเหมาะสม แต่การมุ่งเน้นมาตรการกระตุ้นการบริโภคเป็นหลัก อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาการส่งออกที่ชะลอตัว โดยอัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการของไทยอยู่ในระดับต่ำเพียง 3-4% ต่อปี
ในขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมีอัตราการเติบโตสูงถึง 6-10% สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงของสินค้าและบริการไทยในตลาดโลก
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ต่อหัวของประชากร
แม้ไทยจะยังมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากมาเลเซีย แต่อัตราการเติบโตกลับช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ
สะท้อนให้เห็นว่าการพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว
ต้องยอมรับว่าทางออกสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องดำเนินการในหลายมิติควบคู่กันไป นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแล้ว รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง
การฟื้นฟูกลไกการประชุม กรอ. ทุก 6 เดือนตามข้อเสนอของภาคเอกชน เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
แต่สิ่งสำคัญคือการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม มิฉะนั้น เป้าหมายการผลักดันให้ GDP ไทยเติบโต 3-5% อาจเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง และไทยอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างถาวรในอนาคต
ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องยอมรับความจริงว่า การพึ่งพามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทยได้ การปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจังและรอบด้านเท่านั้น จึงจะสามารถพลิกฟื้นความสามารถในการแข่งขันและนำพาประเทศไทยกลับสู่เส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อีกครั้ง