เมื่อมังกรคลอดสายการผลิตอัจฉริยะสีเขียว (1)

14 ม.ค. 2567 | 02:30 น.

เมื่อมังกรคลอดสายการผลิตอัจฉริยะสีเขียว (1) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3957

เราเคยคุยกันไปว่า จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีความอัจฉริยะมาโดยลำดับ และเกิดคำถามตามมามากมาย วันนี้ผมเลยขอนำเอาอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน มาเป็นตัวอย่างในการพูดคุยกัน 

เพราะโดยสภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์เอง ที่ปรับโครงสร้างจากระบบสันดาปสู่พลังงานทางเลือก ก็ซ่อนไว้ซึ่ง “ความเป็นสีเขียว” อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ภายในตัวของอุตสาหกรรมก็พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ที่ยั่งยืนอีกด้วย ... 

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์จีนเติบโตไปอย่างรวดเร็วเกินห้ามใจ ทั้งนี้โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการ 

ในประการหนึ่ง ตลาดภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก นับเป็นปัจจัยเชิงบวกที่สำคัญ เพราะตลาดนี้เป็นเสมือน “สนามทดลอง” ชั้นดีสำหรับผู้ผลิตยานยนต์ในจีน แถมตลาดในยุคหลังยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

ย้อนกลับไปเมื่อทศวรรษก่อน เราทราบดีว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ระบบสันดาปของจีนเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จีนได้กลายเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อพร้อม ผู้ผลิตยานยนต์ของจีนก็ก้าวออกไปลุยตลาดต่างประเทศ

ด้วยความสามารถในการแข่งขันที่ดี รถยนต์จีนก็สามารถแย่งชิงสัดส่วนตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก้าวแซงการส่งออกของค่ายญี่ปุ่น ทะยานขึ้นเป็นประเทศส่งออกยานยนต์ระบบสันดาปรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในปี 2023
แต่จีนไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น และเลือกที่จะ “เปลี่ยนเลนส์แซง” อย่างที่คนจีนนิยมพูดว่า “ฮ่วนเต้าเชาเชอ” (HuanDaoChaoChe) 

โดยเดินหน้า “ต่อยอด” ไปสู่การพัฒนาสู่รถยนต์พลังงานทางเลือก ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในจีนขยับจากรถยนต์ระบบสันดาปไปสู่ “ยานยนต์ไฟฟ้า” (EVs) และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา 

ส่วนสำคัญของความสำเร็จดังกล่าวต้องให้เครดิตกับ “บทบาทภาครัฐ” ที่กำหนดมาตรการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ครบวงจรของภาครัฐตามนโยบาย Made in China 2025 และการสนับสนุนของภาคเอกชนและประชาชนจีน 
ทำให้อุปสงค์และอุปทาน EVs ของจีนพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงความจริงจังที่มีต่อการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำแห่งอนาคต

สถิติล่าสุดระบุว่า ตลาด EVs ในจีนมีสัดส่วนถึงราว 20% ของตลาดรถยนต์โดยรวม และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวขึ้นเป็น 30% ภายในปี 2025

แต่จากการประเมินโดยสายตาของผม ก็ขอเรียนว่า สัดส่วน EVs ที่โลดแล่นในชุมชนเมืองใหญ่ อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น และ หางโจว อยู่ที่ระดับ 50% ของจำนวนรถยนต์โดยรวมบนท้องถนนเลยทีเดียว

ในเชิงธุรกิจ การจะคิด “คว้าชิ้นปลามัน” จับตลาดจีนที่ใหญ่ เติบโตแรง และมีระดับการแข่งขันสูงให้มั่นได้ ผู้ประกอบการต้อง “เกาะติด” ตลาดจีนอย่างแท้จริง 

การอยู่ “ภายนอก” จะทำให้ผู้ผลิต EVs ไม่อาจรับรู้พฤติกรรมการบริโภคของชาวจีนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดจีนได้ทันท่วงที EVs ต่างชาติจึงไม่อาจแข่งขันในตลาดจีนได้จากภายนอก

เราจึงเห็นผู้ผลิตยานยนต์มากมาย กระโดดร่วมคว้าปลาชิ้นใหญ่นี้ ผู้ผลิตรถยนต์ระบบสันดาปในจีนจำนวนมาก ต่างเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากันเป็นแถว อาทิ รายใหญ่อย่าง เอ็มจี (MG) โวล์คสวาเก้น (Volkswagen) และ วอลโว่ (Volvo)

ขณะเดียวกัน ก็มีสตาร์ตอัพรายใหม่ของจีน และต่างชาติ จำนวนมากกระโจนเข้ามาร่วมวง อาทิ บีวายดี (BYD) เสี่ยวเผิง (Xpeng) หลี่ ออโต้ (Li Auto) และ นีโอ (Nio) รวมทั้งเทสล่า (Tesla) ที่ตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตขนาดยักษ์ที่พื้นที่พิเศษหลินกั่ง ด้านซีกตะวันออกเฉียงใต้ของนครเซี่ยงไฮ้

สิ่งนี้นำไปสู่ “จุดแข็ง” ของอุตสาหกรรม EVs ของจีนในเวลาเดียวกัน จีนนับเป็นมีฐานการผลิต EVs ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น 

ด้วยระบบนิเวศที่ถูกพัฒนาอย่างเป็นระบบ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม EVs จีน นับว่ามีความสมบูรณ์แบบอย่างที่หาได้ยากในประเทศอื่น 

จึงไม่น่าแปลกใจที่ BYD แห่งเซินเจิ้น หนึ่งในเมืองเศรษฐกิจของมณฑลกวางตุ้งของจีน ได้ก้าวขึ้นแซงเทสล่า (Tesla) อดีตแชมป์ผู้ผลิต EVs สัญชาติอเมริกัน ขึ้นเป็น “ผู้ผลิต EVs” รายใหญ่สุดของโลกได้นับแต่ปี 2022

ด้วยวิสัยทัศน์ที่ดีเยี่ยม รัฐบาลจีนทุ่มเทกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังมาอย่างต่อเนื่องนานนับทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ และ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

                        เมื่อมังกรคลอดสายการผลิตอัจฉริยะสีเขียว (1)

ยกตัวอย่างเช่น กิจการของ BYD ที่สร้างชื่อด้วยการทำยอดขาย EVs รายใหญ่สุดของโลก แซงหน้า Tesla เป็นครั้งแรก

เมื่อต้นปี 2024 ก็ต่อยอดมาจากธุรกิจผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งทำให้กิจการมีความชำนาญเฉพาะด้านจนกลายเป็นพื้นฐานสำคัญ เมื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจ EVs ในปัจจุบัน

ผมจำได้ว่า ในช่วงหลายปีหลังนี้ ผู้แทนภาครัฐและเอกชนจีน ต่างแสดงความสนใจติดต่อทาบทาม เพื่อขอเทคโอเวอร์กิจการแบตเตอรี่ ที่มีศักยภาพของไทย และของต่างชาติ มาเป็นระยะ 

จีนยังให้ความสำคัญตลอดห่วงโซ่อุปทาน ย้อนกลับไปที่อุตสาหกรรมต้นน้ำในหลายส่วน เราต่างทราบกันดีว่า จีนนับเป็นประเทศที่มี “แร่หายาก” อยู่มาก แร่เหล่านี้ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ยุคใหม่ อาทิ กราไฟต์ ลิเธียม และ โคบอล์ต

แม้กระทั่ง เมื่อปลายปี 2023 Tesla ก็ยังไม่ยอมตกขบวน และตัดสินใจขยายการลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ยุคใหม่ ที่ทรงพลังและประสิทธิภาพ จนถูกค่อนขอดว่าบริษัทกำลังเดิน “สวนทาง” กับกิจการอื่นในหลายอุตสาหกรรม ที่พยายามลดระดับการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของจีน 

ผู้เชี่ยวชาญในวงการเปิดเผยว่า ปัจจุบันจีนมีบทบาทสำคัญในส่วนของแร่หายาก โดยควบคุม 85% ของการแปรรูปแร่หายาก และกว่า 92% ของการผลิตแม่เหล็กของโลก และทิ้งห่างสหรัฐฯ และ ยุโรป ในแง่ความสามารถในการทำเหมืองและแปรรูปแร่หายาก และการผลิตแบตเตอรี่ การพัฒนาอุตสาหกรรม “แนวดิ่ง” ดังกล่าวยังทำให้ EVs จีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุน

เมื่อผนวกรวมเข้ากับจุดแข็งในเชิงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ก็ยิ่งทำให้อุตสาหกรรม EVs จีนมีขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างแท้จริง 

แล้วจีนพัฒนา EVs อะไรออกมาแล้วบ้าง เราไปคุยกันต่อในตอนหน้าครับ ...


เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ  ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน