อย่าปิดประตู ใส่หน้าเพื่อนจีน

31 ม.ค. 2563 | 12:22 น.

คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐิจ ฉบับ 3545 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 2-5 ก.พ.63 โดย... กระบี่เดียวดาย

 

อย่าปิดประตู

ใส่หน้าเพื่อนจีน

 

     รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงนี้มีแต่เรื่องชวนปวดหัว มีแต่คนพยายามสร้างเรื่องให้กลุ้มเยอะจนตามแก้แทบไม่ทัน

     โรคระบาดไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นตอจากอู่ฮั่น ประเทศจีน ก็ชวนให้ปวดหัว ลำพังของการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่จะลุกลามตามมาและการสกัดกั้น การร่วมมือกับจีน องค์การอนามัยโลกและประเทศอื่นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา ด้วยเหตุว่าเป็นวาระร่วมของโลกในยามที่มีโรคอุบัติใหม่ก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว ยังมีปัญหาภายในที่อาจลุกลามไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อีก หากออกมาตรการแบบ “สิ้นคิด”

     เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มี พิพัฒน์ รัชกิจประการ ดูแล ภายใต้การกำกับของรองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมที่จะประกาศยกเลิกมาตรการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อคน การตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวชนิดใช้ได้ครั้งเดียวเป็นการชั่วคราว (Visa On Arrival) ของนักท่องเที่ยวจีน

     มีการเตรียมเสนอเรื่องนี้เข้าไปในที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากเดิมการยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อคน การตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว VOA (Visa On Arrival) ครม.เคยมีมติเมื่อ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งมาตรการจะสิ้นสุด 30 เมษายน 2563 โดยเตรียมเสนอให้ไม่ขยายมาตรการให้กับจีน แต่จะใช้มาตรการต่อกับอินเดีย

 

     เดชะบุญ ! ที่นายกฯได้เรียกหารือนอกรอบก่อนและเบรกทัน โดยนายกฯ ขอให้นำไปพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มี อนุทิน เป็นประธานประชุมก่อนและสั่งการให้พิจารณาผลกระทบให้รอบคอบ

     ที่แน่ๆ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ด้วยเหตุเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และอาจส่งผลต่อการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวในระยะยาวของไทย เพราะข้อเสนอนี้อาจทำให้จีนมองว่าเป็นนโยบายซ้ำเติม ในขณะที่จีนกำลังประสบปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่

     ต้องเข้าใจให้ตรงกันว่า จีนถือเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวม 79,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยส่งออกไปจีนมูลค่า 29,172 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจากจีน 50,327 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

     ด้านนักท่องเที่ยวจีนก็เป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย โดยในปี 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 7,665,901 คน รายได้ 381,874.53 ล้านบาท

     “เพื่อนกำลังลำบาก ติดหวัด อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เราถึงกับเล่นถีบเพื่อน ปิดหน้า ปิดประตูไม่ให้เข้าบ้าน ไม่คบกันเลยหรือ เราจะป้องกันที่บ้านของเราดีกว่ามั้ย เพื่อนจะมาก็ใส่หน้ากากป้องกันมาหน่อย มาถึงก็ตรวจวัดเช็กกันหน่อย เพื่อนไปไหนเราก็ตามดูแล มันจะไม่ดีกว่า ปิดประตูหรือ คิดว่าเพื่อนเป็นหวัดไม่หายหรืออย่างไร ถ้าเพื่อนหายขึ้นมาบอกว่าอั๊วไม่คบลื้อแล้ว อั๊วไม่สบายลื้อไม่ให้เข้าบ้าน ยังงี้เลิกคบกันดีกว่า”

     รัฐบาลต้องคำนึงเรื่องให้รอบคอบ อย่าแก้ปัญหาโดยต้องการเอาใจกระแสโลกโซเชียล ถ้ายึดแนวทางเอาใจโซเชียลทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีไปบริหาร ไปกำหนดทิศทางนโยบาย

     อันที่จริงการยกเลิกมาตรการนี้ต่อชาวจีน มีผลดีเรื่องเดียวเท่านั้น คือทำให้คนไทยรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ผลเสียตามมามากมายโดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ ความรู้สึกไม่ดีของคนจีนเกิดขึ้น

     “ตอนนี้ประเทศต้นทางปิดอยู่แล้ว สถานทูตก็ไปไม่ได้ ฟีวีซ่าเขาก็ใช้ไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องยกเลิกเพราะไม่มากันอยู่แล้ว วีซ่า VOA ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งตม.สามารถต่อวีซ่าได้อยู่แล้ว แต่มาตรการในการให้เขาต่อวีซ่าด้วยความรู้สึกดี จะมีประโยชน์ต่อการควบคุมด้วย ตรวจเช็กได้ ให้เข้ามาแสดงตัว เพื่อติดต่อเขาได้ ดีกว่าปล่อยให้อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ซึ่งจีนเองก็กลับไม่ได้ ก็ต้องหลบอยู่เมืองไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่ฐานะทางการเงินดี และการที่เขาไม่กลับไป เพราะเขามั่นใจว่าเขามีเงิน ซึ่งเงินสามารถใช้ผ่านแอพพลิเคชันได้ตลอดไม่ต้องมีเงินสด ก็ควรตรวจสุขภาพคนกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว ส่งเขาไปเที่ยวเมืองรอง ให้เที่ยวต่อไปเลยโดยเข้าไปแนะนำการท่องเที่ยวให้เขา อย่าไปรังเกียจชาวจีน” เสียงจากผู้ประกอบการท่องเที่ยว

     รัฐบาลต้องไม่แก้ปัญหาแบบสิ้นคิด แก้ปัญหาหนึ่งไปผูกกับอีกปัญหาหนึ่ง กลายเป็นอีกปัญหาหนึ่ง ยิ่งแก้จะกลายเป็นยิ่งยุ่งเป็น“ลิงแก้แห”

     ต้องรอบคอบ แก้ปัญหาที่ตนเอง วางมาตรการป้องกัน ตรวจเช็กที่ตัวเอง มีทีมบริการที่พร้อมรับมือป้องกัน ควบคุมโรคในทุกระดับ ไม่ใช่ตั้งหน่วยฉุกเฉินมาพอมีการแจ้งเหตุกลับโยนกันให้วุ่นและให้แก้ปัญหากันเอาเองเหมือนที่เคยเกิดขึ้นใน จ.ภูเก็ต

     การแก้ปัญหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มาจากจีน

     อย่าแก้ปัญหาด้วยการ“ปิดประตูใส่หน้าเพื่อน” ในยามที่ลำบากเลย !!