โดย เนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ CEO บริษัท ซิลเลี่ยน อินโนเวชั่น จำกัด
นอกจากนี้มี Entertainment Complex จากภาครัฐ หรือการเข้ามาตั้งโรงงาน EV และ Battery จากค่ายรถยนต์จากต่างประเทศ รวมถึงการมาลงทุนสร้าง Data Center จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก ซึ่งจะเป็นตัวการสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจให้ไทยเติบโตอีก
แต่ในทางกลับกัน ถ้ายิ่งมีการก่อสร้างมากเท่าไร ก็ยิ่งทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้น เพราะกว่า 1 ใ น 3 ของสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก มาจากภาคการก่อสร้าง โดยประมาณ 30% จะอยู่ในช่วงการก่อสร้าง และอีก 70% เป็นช่วงการเข้าใช้งานอาคารตลอดอายุการใช้งาน
การลดการใช้พลังงานในอาคาร และการออกแบบอาคารจึงต้องสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลดทอนความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ (mitigation) และด้านการปรับตัวให้อยู่กับโลกที่ร้อนขึ้นได้
ดังนั้น จึงนำมาสู่เทรนด์การออกแบบ หรือปรับปรุงอาคารโดยใช้หลัก Passive & Active Design รวมถึงนำนวัตกรรมวัสดุใหม่ ๆ จึงตอบโจทย์มากยิ่งขึ้นเพื่อให้อุตสาหกรรมก่อสร้างอาคารมุ่งสู่ความยั่งยืน เพราะสามารถช่วยได้ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะชะลอและจำกัดความรุนแรง ของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ Passive Design คือการออกแบบอาคาร ให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม หรือพูดง่าย ๆ คือออกแบบให้อาคารเป็นอาคารที่อยู่สบาย ดีต่อสุขภาพอนามัย ซึ่งก็เป็นหลักในการออกแบบพื้นฐานของสถาปนิก โดย Passive Design มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ประกอบด้วย
1.ระบบระบายอากาศตามธรรมชาติ ด้วยการดึงอากาศเย็นจากภายนอกและเพิ่มการไหลเวียนของอากาศตามธรรมชาติ เพื่อระบายความร้อน โดยกลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารและลดความจำเป็นในการใช้ระบบเครื่องทำความเย็น สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การประหยัดพลังงานได้อย่างมากและลดค่าพลังงานสำหรับเจ้าของอาคารได้อย่างดี
2.การปิดผนึกของเปลือกอาคาร โดยการปิดผนึกรอยต่อต่าง ๆ เช่น ช่องว่างระหว่างเฟรมหน้าต่างกับผนังปูนให้แน่นหนา ด้วยการใช้วัสดุกั้นอากาศคุณภาพสูง เช่น เทป เมมเบรน และวัสดุยาแนว โดยให้แน่ใจว่าจะสามารถกันอากาศเข้าได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการใช้หน้าต่าง หรือกระจกสูญญากาศ และประตูคุณภาพสูง ที่มีคุณสมบัติในการกันอากาศไหลเข้าออกได้ ต้องติดตั้งและปิดผนึกอย่างระมัดระวัง เพื่อลดการรั่วไหลของอากาศ และไม่มีอากาศรั่วไหล โดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
3.ฉนวนกันความร้อน ซึ่งสามารถนำทั้งธรรมชาติและนวัตกรรมของวัสดุอาคารมาใช้ควบคู่กัน เช่น การให้ร่มเงากับผนังอาคารในด้านที่รับแสงแดดจัดในเวลาเที่ยง-บ่าย ด้วยการใช้ระแนงแผง หรือต้นไม้มาช่วยบังแดด ลดความร้อนสู่ผนัง โดยเฉพาะหลังคาของอาคารที่รับแสงแดดและความร้อนทั้งวัน การนำฉนวนกันความร้อนที่มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้สูง มาปูทับบนหลังคาคอนกรีต หรือหลังคาเหล็ก และใช้แผ่นยางกันซึม ที่มีค่าสะท้อนแสงได้สูงมาปูทับ เพื่อป้องกันนํ้ารั่วอีกชั้น ซึ่งจะเสมือนการกางร่มให้กับอาคารเลยทีเดียว และยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของหลังคาดาดฟ้าได้ดียิ่งขึ้นอีก หากนำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้ควบคู่กันบนหลังคา
นอกจากนี้ Active Design ยังคือการออกแบบอาคารให้มีความยั่งยืนด้านการใช้พลังงานโดยการนำเทคโนโลยี หรืออุปกรณ์อันทันสมัยเข้ามาช่วย เช่น การใช้โซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองภายในอาคาร หรือนำระบบ Smart Automation มาใช้บริหารอาคาร เพื่อลดการใช้พลังงาน ถึงแม้ระบบดังกล่าวจะมีราคาค่อนข้างสูงในอดีต แต่ปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น จากการแข่งขันที่สูงของสินค้า จึงทำให้มีราคาถูกลง และได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากทางภาครัฐ ทำให้มีความคุ้มค่าในการลงทุนเพราะถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น
ดังนั้น Passive & Active Design จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบอาคารที่ยั่งยืน ซึ่งตอบโจทย์ในการลดการใช้พลังงาน อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบาย และเพิ่มประสิทธิภาพของอาคาร รวมถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด
หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,023 วันที่ 1 - 4 กันยายน พ.ศ. 2567
ข่าวที่เกี่ยวข้อง