นพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส จาก SCB EIC เปิดเผยในงาน SCBX REIMAGINING CLIMATE Series ในช่วง EP1: Shaping the Pathway Towards Net Zero Transition ที่ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน ตอนหนึ่งว่า ตลาดผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์มีแนวโน้มโตแบบก้าวกระโดด หลังจากประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ปี 2065 ซึ่งสอดรับไปกับเป้าหมายของโลก
ไทม์ไลน์ตัวอย่างเป้าหมายของไทยก่อนเข้าสู่ Net Zero ปี 2065
2021 เริ่มต้น
2030 ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 40%
2035 ประมาณการใช้รถยนต์ EV 69%
2037 กำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ 120 เมตริกตัน
2050 เป็นกลางทางคาร์บอน
2065 เข้าสู่ Net Zero
นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย 30@30 เป็นจุดเริ่มต้นในการสนับสนุนการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยต้องใช้และผลิตรถ EV อย่างน้อย 30% ขึ้นไป และต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ EV เรื่อยๆ เป็นขึ้นบันได จาก 1 ล้านไปจนถึง 3 ล้านคัน และ ปี 2040 ไทยต้องมีรถ EV จำหน่าย 100%
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า การเดินไปสู่เป้าหมาย Net Zero ต้องสนับสนุนให้ใช้พลังงานบริสุทธิ์ อย่างพลังไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตลาดการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังโตได้อีก และจะโตแบบก้าวกระโดด
ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหลายภาคส่วนจากเอกชนระบุว่า ตั้งแต่ปี 2018 ถึง ปัจจุบัน ปริมาณการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของเอกชนที่ขายตรงให้กับธุรกิจโตขึ้น +97%
2018 ผลิตที่ 22 kWh
2019 ผลิตที่ 50 kWh
2020 ผลิตที่ 101 kWh
2021 ผลิตที่ 226 kWh
2022 ผลิตที่ 375 kWh
2023 ผลิตที่ 644 kWh
นอกจากภาครัฐที่จะมีส่วนผลักดันในเรื่องนี้แล้ว ภาคการเงินคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ผ่านตลาดการเงินสีเขียว รวมถึงเป้าหมายการเพิ่มทรัพย์สินที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินชั้นนำมีเป้าหมายเพิ่มทรัพย์สินที่ยั่งยืน หลายสถาบันการเงินชั้นนำลงทุนไปกับพลังงานสะอาด อย่าง Commerzbank มาเป็นอันดับ 1 ที่ 80% อันดับ 2 เป็น Nordea 70% อันดับ 3 เป็น JP Morgan 63% อันดับ 4 เป็นของ Deutche Bank 62% อันดับ 5 เป็นของ BBVA 60%
อีกหนึ่งช่องทางธุรกิจพลังงานสะอาดคือ การใช้ Green Hydrogen ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งภาครัฐคาดการณ์ว่าจะชัดเจนในปี 2030 แต่หากมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยให้ราคา Green Hydrogen มีความชัดเจนขึ้นก็จะทำให้การนำมาใช้ในไทยทำได้เร็วขึ้น
สำหรับประเด็นนี้ SCB วิเคราะห์ว่า ตลาดของ Green Hydrogen ในไทยยังมีอุปสรรคที่ทำให้เติบโตได้ช้า เช่น ราคายังค่อนข้างสูง ปริมาณความต้องการยังไม่แน่นอน โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้ออกแบบเพื่อรองรับการจัดส่งและจำหน่าย
ก่อนนี้ SCB EIC เผยแพร่บทความวิเคราะห์ประเด็นเดียวกันนี้ โดยระบุว่า การผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และพลังงานลม (Wind) ปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผลจากเป้าหมาย Net zero pathway ที่มีร่วมกันของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย นอกจากนี้ ยังหนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตตาม อาทิ แผงโซลาร์และอุปกรณ์กังหันลม รวมถึงโครงข่ายไฟฟ้า (Grids)
การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของทั่วโลก
ตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของทั่วโลกยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง (ปี 2024 ขยายตัว 29% ต่อปี) และทยอยเพิ่มบทบาทในการผลิตไฟฟ้าของโลก ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่
1. การลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากพลังงาน Fossil ที่ราคามีความผันผวน (โดยเฉพาะในแถบแอฟริกา)
2. แผนการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเกือบ 50% ภายในปี 2028 และเข้าสู่ Net zero ภายในปี 2050
3. การอุดหนุนของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Self-consumption)
และ 4. ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่นๆ ผนวกกับต้นทุนของแบตเตอรี่ ESS ที่ทยอยปรับตัวลดลงช่วยลดข้อจำกัดในการใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลง
จากแนวโน้มการเติบโตข้างต้น เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในตลาด PPA (ข้อตกลงการซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อป) ในต่างประเทศ เช่น ตลาดอินเดียและบางประเทศในแอฟริกาที่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เติบโตดีในอีก 5 ปีข้างหน้า ท่ามกลางศักยภาพของพื้นที่เหมาะสม และนโยบายสนับสนุนตลาด PPA
การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของไทย
ในส่วนของตลาดไทย การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากแรงหนุนของตลาดที่ขายไฟให้ลูกค้าโดยตรง (Private PPA) และ Self consumption (ทั้งสองตลาดมีโอกาสเติบโตเร่งขึ้นอีกมาก หากภาครัฐให้การสนับสนุน เช่น นโยบาย TPA : Third Party Access & Wheeling charges2) นอกจากนี้ ตลาดที่ขายไฟให้ภาครัฐ (Public PPA) ยังมีโอกาสเติบโต ทั้งจากโครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลเฟส 2 ราว 2.6 GW และแผน PDP ใหม่ที่คาดว่าอาจประกาศได้ในปี 2024 (ซึ่งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในสิ้นปี 2037 อาจจะเพิ่มขึ้นจากแผน PDP2018Rev1 กว่า 200%)
ความต้องการใช้แผงโซลาร์ของทั่วโลก
ความต้องการใช้แผงโซลาร์ทั่วโลกเติบโตได้ดีตามตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยในปี 2024 ขยายตัวราว 24% YOY (Year on Year: เป็นการเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน) และขยายตัวได้ต่อเนื่องในระยะกลาง โดยเฉพาะตลาด Self consumption ที่กำลังเพิ่มบทบาทมากขึ้นและขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโรงไฟฟ้า
ในส่วนของแนวโน้มราคาแผงโซลาร์ในปี 2024 คาดว่ายังคงลดลงต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก 1. ราคา Polysilicon ที่ลดลงจากกำลังการผลิตต้นทุนต่ำที่มีมากขึ้น 2. การแข่งขันที่มากขึ้นจากผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด และ 3. การเข้าสู่ช่วงกลางของเทคโนโลยี (ช่วงที่การผลิตขนาดใหญ่ หรือ Mass-production level) ทำให้ต้นทุนต่อ Watt ต่ำลง ในระยะกลางคาดว่าราคาจะลดลงต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลงตามกำลังการผลิตที่เติบโตในอัตราที่ชะลอลง ผนวกกับแนวโน้มนโยบายกีดกันการค้าที่มีมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง