กลุ่มนักเคลื่อนไหวจำนวน 18 คน และองค์กรเอ็นจีโอ อีโคดีเฟนส์ (NGO Ecodefense) ได้ยื่นฟ้อง "รัฐบาลรัสเซีย" อ้างว่านโยบายรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศนั้น "อ่อนแอ" เกินไป เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เนื่องจากไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นสำคัญของคดีนี้ คือ การคัดค้านแนวทางการใช้ป่าไม้เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน ซึ่งเป็นหัวใจของแผนด้านสภาพภูมิอากาศของรัสเซีย โดยผู้ฟ้องระบุว่า ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ นอกจากนี้ยังมุ่งประเด็นไปที่การปล่อยก๊าซมีเทนจาก การสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซียซึ่งเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับไม่มีเป้าหมายลดการปล่อยมีเทน
หนึ่งในผู้ฟ้องซึ่งเคยถูกจำคุกในรัสเซียจากการประท้วงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า คดีนี้เป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างนโยบายกับรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้คาดหวังที่จะชนะคดี แต่หวังสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหานี้ให้กับสังคม
นอกจากนี้ ชนพื้นเมืองเช่นชาวซามีในคาบสมุทรของรัสเซียยังได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้แหล่งอาหารและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมถูกคุกคาม เช่น เนื้อกวาง ปลา และผลไม้เบอร์รี่ป่า ส่งผลให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง
ตัวแทนกลุ่มผู้ยื่นฟ้องระบุว่า "พวกเขากำลังสูญเสียทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น"
แม้ "รัสเซีย" จะตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060 แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ความพยายามของรัสเซียจึงถูกองค์กรนานาชาติเรียกว่า "ไม่เพียงพออย่างยิ่ง" ทั้งที่ รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก
กลยุทธ์ด้านพลังงานของรัสเซียมุ่งเน้นไปที่การสกัด การบริโภค และการส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก โดยแผนด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศต้องพึ่งพาป่าสงวนแห่งชาติซึ่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาลถึงสองเท่าของปัจจุบัน แต่องค์กร Climate Action Tracker (CAT) ระบุว่า "ไม่มีข้อมูลใดที่ยืนยันได้ว่าปริมาณคาร์บอนที่เพิ่มขึ้นมหาศาลเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จริง"
โดย CAT ชี้ว่า แผนดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบของไฟป่าขนาดใหญ่ในป่าไซบีเรียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อแหล่งกักเก็บคาร์บอนธรรมชาติที่สำคัญนี้
ในขณะที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น รัสเซียซึ่งอยู่ในเขตขั้วโลกเหนืออาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ยิ่งขึ้น เช่น คลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง ฝนตกหนัก และน้ำท่วม ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ได้เกิดน้ำท่วมรุนแรงผิดปกติในภูมิภาคเทือกเขาอูราลและไซบีเรีย ส่งผลให้ผู้คนหลายหมื่นคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน
นอกจากนี้ การละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว น้ำท่วม และเหตุการณ์ภัยพิบัติอื่นๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคและการปนเปื้อนของแหล่งน้ำจากของเสียที่เป็นพิษมากขึ้น
ในขณะที่รอผลการพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญ คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคประชาสังคมที่ต้องการผลักดันให้รัฐบาลรัสเซียเพิ่มบทบาทและความรับผิดชอบในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อนที่ผลกระทบจะลุกลามรุนแรงจนเกินควบคุม
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง