net-zero

5 นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสุดเจ๋ง! ตัวช่วยหาทางรอดจากภาวะโลกร้อน

มลภาวะที่โอบล้อมตัวเราและโลกล้วนมาจากฝีมือนมนุษย์ อาทิ ขยะทะเล มลพิษอากาศ น้ำเสีย แต่สถานการณ์ที่กำลังหนักหน่วง รุนแรง เข้าขั้นวิกฤตก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน จึงมี 5 นวัตกรรมมาแนะนำให้ทุกคนได้เห็นทางรอดจากภาวะโลกเดือด

 

สถานการณ์ที่กำลังหนักหน่วง รุนแรง เข้าขั้นวิกฤตจนอาจเอาไม่อยู่ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ซึ่งทุกองคาพยพของโลกต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ใครไม่เข้าใจ ไม่ปรับตัว ถือว่าตกขอบ เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมา เพื่อหวังยืดระยะเวลาของโลกออกให้ยาวนานขึ้น  Climate Center ชวนมาทำความรู้จักกับ 5 นวัตกรรม เพื่อสิ่งแวดล้อมว่า สามารถช่วยกอบกู้โลกของเราได้อย่างไรบ้าง  

 

1. AirCarbon จับก๊าซเรือนกระจกมาทำเป็นพลาสติก เพื่อลดปริมาณคาร์บอน

  
Mark Herrema จากมหาวิทยาลับพรินซ์ตัน มีข้อสงสัยว่า ก๊าซเรือนกระจกสามารถนำมาใช้เป็นทรัพยากรได้หรือไม่ และเขาก็อยากจะนำคาร์บอนในอากาศมาใช้ผลิตพลาสติก จึงได้ร่วมกับ Kenton Kimmel ก่อตั้ง Newlight Technologies ขึ้น ในปี 2003 และได้ค้นพบการผลิตพลาสติกรูปแบบใหม่ ด้วยการใช้ก๊าซมีเทนในการผลิต ซึ่งกระบวนการผลิตนั้นต้นทุนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าการผลิตพลาสติกแบบเดิม   

 

ขั้นตอนการผลิตเริ่มต้นที่กระบวนการดักจับการปล่อยก๊าซมีเทนจากฟาร์มโคนม โรงบำบัดน้ำเสีย หลุมฝังกลบ หลังจากนั้นจะใช้เครื่องปฏิกรณ์ในการหลอมก๊าซและอากาศเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นโพลิเมอร์เหลว (liquid polymer) หลังจากนั้นก็นำโพลิเมอร์เหลวมาสร้างเป็นเม็ดพลาสติกต่อไป   

 

 

แม้ว่าปัจจุบันยังมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนจะยังไม่ค่อยมั่นใจกับเจ้าพลาสติก AirCarbon มากเท่าไหร่ เนื่องจากมองว่ามันจะปล่อยคาร์บอนเป็นลบได้จริงหรือไม่  อย่างไรก็ดี Newlight ได้พยายามแสดงให้เห็นว่า AirCarbon นั้นสามารถเป็นไปได้จริง และสามารถสู้กับพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียมได้ ทั้งเรื่องราคาและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

 

ตอนนี้ Newlight สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า AirCarbon เป็นไปได้จริง ด้วยการใช้เป็นส่วนประกอบของแล็ปท็อปในบางรุ่น และใช้ผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ อย่างชุดเก้าอี้ เป็นต้น ความสำเร็จดังกล่าวส่งผลต่อให้ Newlight และ AirCarbon ได้รับรางวัลมากมาย   

 

2. Metallic Trees ต้นไม้ฝีมือมนุษย์กับภารกิจกู้วิกฤตโลกเดือด

ต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นได้คือการปลูกต้นไม้เพราะมันมีความสามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไว้ได้ และยังเปลี่ยนให้กลายเป็นออกซิเจนผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ด้วย

 

Metallic Trees ต้นไม้ฝีมือมนุษย์กับภารกิจการจัดการวิกฤตการเปลี่ยนแปลง  สภาพภูมิอากาศ


ทว่าต้นไม้บนโลกมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จากการพัฒนาเศรษฐกิจในมิติต่างๆ ที่ใช้ทรัพยากรกันมากขึ้น บุกรุกป่ากันมากขึ้น ศ. Klaus Lackner จากมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา ได้วิจัยรวบรวมคาร์บอนไดออกไซด์โดยใช้เทคนิคการใช้พลังงานต่ำและมีราคาถูก Lackner ได้สร้างต้นไม้โลหะ (Metallic Trees) ขึ้นมาเพื่อช่วยในการดักจับและกักเก็บคาร์บอน

 

เขากล่าวว่า ต้นไม้โลหะนี้สามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าต้นไม้ตามธรรมชาติถึง 1,000 เท่าเลยทีเดียว   กระบวนการในการทำงานของต้นไม้โลหะนี้ เริ่มด้วยการใช้เรซินเคมีรวบรวมและกักเก็บคาร์บอนเอาไว้ในขณะที่ยังแห้งอยู่ ซึ่งต้นไม้จะรวบรวมคาร์บอนด้วยวิธีแห้งนี้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงนำแผ่นเรซินหย่อนลงไปในภาชนะที่บรรจุกน้ำและไอน้ำ 

 

ภาชนะดังกล่าวจะกักเก็บคาร์บอนเอาไว้และแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่  แต่ต้นไม้โลหะของ Lackner ยังอยู่ในขั้นทดสอบอยู่ เขาจำเป็นต้องใช้เวลาและเงินทุนอีกมาก ก่อนจะปล่อยต้นไม้เหล่านี้ออกสู่สาธารณะได้ 

 

ในระยะยาวพวกเขากำลังพยายามที่จะเปลี่ยนคาร์บอนที่ดักจับได้ให้กลายเป็นของแข็ง ผ่านการทำปฏิกิริยาต่อแคลเซียม ซึ่งนั่นยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ต้นไม้ใช้พลังงานหมุนเวียนได้ทั้งหมด ทำให้หลายหน่วยงานสนใจนวัตกรรมดังกล่าว มหาวิทยาลัยแอริโซนาจึงได้มอบทุนให้เขาอีก 2.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาต้นไม้โละนี้ต่อไป 

 

3. Seabin ถังขยะกลางทะเลเทคโนโลยีแก้ปัญหาขยะล้นมหาสมุทร   

Seabin Project หนึ่งในโปรแกรม StartUp ของ Andrew Turton และ Pete Ceglinski ชาวออสเตรเลียที่ต้องการคิดค้นโปรเจกต์ที่สามารถช่วยโลกของเราได้

 

เบื้องต้นพวกเขาได้เปิดยอดบริจาคจากประชาชนทั่วไปเพื่อนำเงินเหล่านี้มาลงทุนในโครงการ Seabin นี้ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 230,000 ดอลลาร์ ทว่าพวกเขากลับได้รับทุนไปถึง 267,767 ดอลลาร์เลยทีเดียว 

 

ถังขยะลอยน้ำที่ถูกคิดค้นนี้จะลอยไปในทะเลเพื่อคอยเก็บขยะในทะเลไม่ว่า ขวดพลาสติก คราบน้ำมัน เศษขยะอื่นๆ ถังขยะลอยน้ำนี้จะดูดสิ่งปฏิกูลเข้าไปในถุงดักที่ติดตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ ซึ่ง Seabin สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยคนแค่คอยเปลี่ยนถุงดักเท่านั้น   

 

4. HybriT Green Steel เทคโนโลยีผลิตเหล็กสีเขียวไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก   

เทคโนโลยีในผลิตเหล็กกล้าที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้เป็นนวัตกรรมที่ได้รับความร่วมมือจากหลายบริษัทในอุตสาหกรรมถลุงเหล็กในเมืองลูเลีย (Luleå) ทางตอนเหนือของสวีเดน ที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกและเป็นต้นแบบในการผลิตเหล็กแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   

 

บริษัท SSAB บริษัทเครื่องลำเลียงแร่เหล็ก LKAB และบริษัทผู้จัดหาพลังงาน Vattenfall ได้ร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Hybrit (Hydrogen Breakthrough Ironmaking Technology) ขึ้นมา และดำเนินการติดตั้งโรงกักเก็บไฮโดรเจนต้นแบบที่ถูกฝังลึกลงไปกว่า 30 เมตรใต้ดิน (เป็นแห่งแรกของโลกที่สามารถทำได้) โดยสามารถกักเก็บไฮโดรเจนได้ 100 ลูกบาศก์เมตร และในอนาคตจะมีความจุมากขึ้นเป็น 100,000 – 120,000 ลูกบาศก์เมตร   

 

สาเหตุที่ต้องเป็นไฮโดรเจนเพราะ Hybrit ต้องการเปลี่ยนกระบวนการผลิตเหล็กแบบเดิมที่ปล่อยคาร์บอนจากเตาหลอมและถ่านหินมาเป็นการใช้ไฮโดรเจนแทน ด้วยกระบวนการดังกล่าวทำให้สวีเดนสามารถผลิตเหล็กรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เหล็กกล้าสีเขียว หรือ Green Steel 

 

นี่ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของโลกที่สามารถผลิตเหล็กที่ไม่มีการใช้ถ่านหินหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล  โดยสวีเดนคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะลดการปล่อยคาร์บอนในประเทศลงได้ถึง 10% โดยตั้งเป้าที่จะนำ Green Steel ส่งออกสู่ตลาดในระดับภาคอุตสาหกรรมภายในปี 2569 อีกด้วย   

 

5. Solar Glass เปลี่ยนกระจกธรรมดาให้กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้   

โซลาร์เซลล์เป็นพลังงานทางเลือกที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยลดค่าไฟและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Hasan Baig ผู้ก่อตั้งบริษัท Build Solar จึงได้คิดค้นและพัฒนาบล็อกแก้วอเนกประสงค์ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์สามอย่างคือ ผลิตกระแสไฟฟ้า ให้แสงสว่างในเวลากลางวัน และเป็นฉนวนกันความร้อน   

 

บล็อกแก้วใสๆ นี้บรรจุตัวโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กไว้ภายในถึง 13 ตัว สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าและนำไฟฟ้าออกไปใช้นอกตัวอาคารได้ ผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Building Integrated Photovoltaics ที่ใช้สายใยแก้วช่วยรวบรวมแสงอาทิตย์ให้ตกกระทบไปทั่วโซลาร์เซลล์ เพื่อให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากที่สุดจากโซลาร์เซลล์ในแต่ละตัว 

 

อ้างอิง: มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
เครดิตภาพปก: Eco-Business