โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "คลื่นความร้อน" แผ่ขยายและทวีความรุนแรงไปทั่วโลก ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสตรีมีครรภ์และทารกในครรภ์ ผลการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ทุกๆ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ความเสี่ยงในการเสียชีวิตของทารกเพิ่มขึ้นถึง 22.4%
แอนา โบเนล นักวิชาการแพทย์จากวิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยลอนดอน (LSHTM) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดจากความร้อนต่อสรีรวิทยาของเกษตรกรหญิงตั้งครรภ์ในแกมเบียจำนวน 92 คน ผลการศึกษาพบว่า การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเพียง 1 องศาเซลเซียส ทำให้ความเครียดของทารกในครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 17% ซึ่งวัดได้จากอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นและการไหลเวียนเลือดไปยังรกที่ลดลง
ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิในแกมเบียเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 1 องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า มีโอกาสสูงถึง 95% ที่ปี 2024 จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้
องค์การอนามัยโลกระบุว่า กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด ได้แก่ สตรีมีครรภ์ ทารกแรกเกิด เด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับถูกละเลยและไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงตั้งครรภ์
ข้อมูลจาก ฮิวแมนไรท์วอทช์ เผยว่า เว็บไซต์ของหน่วยงานด้านความปลอดภัยจากอากาศร้อนในหลายรัฐของสหรัฐฯ มีคำแนะนำในการดูแลสัตว์เลี้ยงช่วงหน้าร้อนมากกว่าข้อมูลการดูแลหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ยังพบว่า มีเพียง 20% จาก 119 ประเทศเท่านั้น ที่มีการกล่าวถึงการดูแลสุขภาพของสตรีมีครรภ์และทารกในครรภ์ในแผนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นาธาเนียล เดนิโคลา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมจากโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ ได้ทำการทบทวนการศึกษา 68 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของชาวสหรัฐฯ จำนวน 32.7 ล้านคน ผลการศึกษาพบความเชื่อมโยงระหว่าง ความร้อนจัดกับภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และการคลอดก่อนกำหนด
ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายของสตรีมีครรภ์มีความอ่อนไหวต่อความร้อนมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการขยายตัวของผิวหนัง ความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่สร้างความไม่สบายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด ภาวะตายคลอด โรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานขณะตั้งครรภ์
นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสมองและปอดของทารกในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก และทำให้ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย อีกทั้งคลื่นความร้อนยังส่งผลกระทบต่อการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็กและวัยรุ่นอีกด้วย
การคลอดก่อนกำหนด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตในวัยเด็กเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดคลื่นความร้อน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคโลหิตจาง ภาวะหายใจลำบาก โรคดีซ่าน ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เบาหวานขึ้นตา ลมบ้าหมู และความบกพร่องทางการเรียนรู้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า ปัจจุบันมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการคลอดก่อนกำหนดอยู่ที่ 16%
นอกจากนี้ ผลการวิจัยของ รูปา บาซู ในปี 2010 ซึ่งพบว่าแม่ผิวดำมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดมากกว่าคนผิวขาวถึง 2.5 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมและสุขภาพที่ยังคงมีอยู่ ความเสี่ยงนี้เชื่อมโยงกับปัจจัยหลายประการ เช่น โภชนาการที่ไม่เพียงพอ การสัมผัสมลพิษทางอากาศ การเข้าไม่ถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ การขาดเครื่องปรับอากาศ และการทำงานกลางแจ้ง
ในปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบกว่า 170 ปี ผู้คนในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และแอฟริกา ต้องเผชิญกับความร้อนรุนแรงอย่างน้อย 31 วัน สถานการณ์นี้ส่งผลให้อัตราการคลอดก่อนกำหนดในภูมิภาคเหล่านี้สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเอเชียใต้ที่มีอัตราการคลอดก่อนกำหนดสูงถึง 13.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยุโรป ที่ 7.9%
ทาง UNICEF ได้เสนอมาตรการป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นความร้อน รวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่แนวหน้าให้สามารถระบุอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อน และการจัดหาศูนย์ทำความเย็นและพื้นที่ร่มเงา นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่สตรีมีครรภ์เกี่ยวกับอันตรายจากความร้อนและวิธีการดูแลตนเอง รวมถึงการสร้างความตระหนักในสังคมเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและลดภาระของสตรีมีครรภ์ในช่วงที่อากาศร้อนจัด
อ้างอิง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง