เปิดผลสำรวจปัญหากังวลใจคนไทย 'สิ่งแวดล้อม-มลภาวะ' ครองแชมป์ปี 2567

ผลสำรวจล่าสุดของ มาร์เก็ตบัซซ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยให้เห็นว่าในปี 2567 "ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลภาวะ" ยังคงเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของประชาชนไทย โดยครองแชมป์ประเด็นที่คนไทยกังวลมากที่สุด

 

การสำรวจนี้จัดทำขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2562 โดยสอบถามประชาชนไทยเกี่ยวกับ 5 อันดับความกังวลต่อสาธารณะ ผลการสำรวจล่าสุดจากผู้ตอบแบบสอบถาม 1,000 คน ในเดือนเมษายน 2567 พบว่า สิ่งแวดล้อมยังคงติดอันดับสิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุด คิดเป็น 30% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และ ค่าครองชีพ คิดเป็น 28%

 

จากผลสำรวจปี 2567 นี้ชี้ให้เห็นว่าความกังวลของคนไทยด้านสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น โดย 74% รู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 62% และ 37% กังวลว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายลงในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

แม้มีความกังวลสูง แต่กลับพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยพฤติกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พบมากที่สุด ได้แก่...

• ไม่สนับสนุนการค้าสินค้าจากป่า/ผิดกฎหมาย (37%)
• ลดการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (34%) 
• ใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำ (33%)

 

มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า แม้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะเป็นความกังวลอันดับหนึ่ง แต่การเลือกใช้สินค้าและบริการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันกลับเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้น

 

ผลสำรวจยังระบุว่า ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ โดยปีนี้มีบริษัทที่ได้รับการยกย่องในการสนับสนุนสิ่งแวดล้อมในระดับสูงถึง 4 แห่ง ได้แก่ ทรู, ปตท., ซัมซุง และเอไอเอส

 

มร.แกรนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นความคิดเห็นที่หลากหลายของคนไทยเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยคาดหวังให้รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ แต่ประชาชนเองก็มีความรับผิดชอบร่วมด้วย ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

 

ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

1. ภาวะโลกร้อน (30%)

2. มลภาวะทางอากาศ (27%) 

3. การเปลี่ยนแปลงอากาศ/อุณหภูมิ (22%)

 

สำหรับสาเหตุของ มลภาวะทางอากาศ คนไทยมีความเห็นที่หลากหลาย โดยสาเหตุ 5 อันดับแรก ได้แก่...

• ควันจากรถยนต์ (30%)
• การเผาขยะ/ผลิตผลเกษตร (26%)
• การใช้บรรจุภัณฑ์โฟม/พลาสติก (23%)
• สารเคมีในการก่อสร้าง/ฝุ่นควัน (22%)
• การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ (21%)

 

ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนไทยตระหนักถึงภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลภาวะต่อชีวิตมากขึ้น แม้ต้องเผชิญความท้าทายอื่นๆ งานวิจัยของวิทยาลัยฯ จะมุ่งให้ความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนให้นักศึกษา ซึ่งจะเป็นผู้นำในอนาคต เพื่อผลักดันให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

 

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีความตระหนักสูง แต่ยังคงมีช่องว่างระหว่างความตระหนักกับการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องแก้ไข เราควรพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมให้บุคคลและองค์กรต่างๆ เลือกทางเลือกที่ยั่งยืนได้อย่างต่อเนื่อง

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับนโยบายของภาครัฐ ดังนั้น ไม่สายเกินไปที่เราจะมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้ เราทุกคนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ ต่างฝ่ายควรทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม