นักวิจารณ์ทั่วโลกกำลังประณามการ "ล่าวาฬ" ประจำปีของหมู่เกาะแฟโร ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อน โดยสิ่งที่หมู่เกาะแห่งนี้เรียกว่า "ธรรมเนียมเก่าแก่" นี้ ได้สังหารวาฬและโลมาไปแล้วกว่า 20,000 ตัว หรือเฉลี่ยกว่า 1,000 ตัวต่อปี
การ "ล่าวาฬ" ในครั้งนี้ส่งผลให้วาฬประมาณ 40 ตัวต้องตาย โดยมีแผนจะล่าสัตว์เพิ่มเติมตลอดทั้งปี ซึ่งการล่าสัตว์ดังกล่าวมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า "Grindadráp" ซึ่งชาวแฟโรอ้างว่าเป็นประเพณีทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนานหลายศตวรรษ
แม้ว่า "วาฬ" จะได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร แต่หมู่เกาะแฟโรซึ่งเป็นดินแดนอิสระของเดนมาร์กสามารถกำหนดกฎระเบียบของตนเองได้ เนื่องจากมีสถานะปกครองตนเองจึงรอดพ้นจากข้อกฎหมายดังกล่าว
โดย "หมู่เกาะแฟโร" ห่างจากสหราชอาณาจักรไปทางเหนือประมาณ 300 กม. ตั้งอยู่ระหว่างไอซ์แลนด์และนอร์เวย์ มีประชากรราว 53,418 คน ผู้คนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวไวกิ้ง และอพยพมาตั้งรกรากในช่วง ค.ศ. 800
John Hourston จากกลุ่ม Blue Planet Society ประณามการกระทำ "โหดร้าย" นี้ โดยระบุว่ามีวาฬประมาณ 60-100 ตัวถูกลากขึ้นฝั่งมารวมกันบนหาดด้วยตะขอ และ "เชือด" ทีละตัว ด้วยการใช้ดาบและหนาม และจะถูกนำไปทำเป็นเมนูฮิตที่มีชื่อว่า "Tvøst and spik" ของชาวเกาะแฟโร หรือก็คือ Fish and Chip ที่ทำจากเนื้อวาฬนั่นเอง
"ไม่จำเป็นเลยสำหรับความโหดร้ายถึงขั้นนี้ในประเทศที่มีรายได้สูง ทั้งๆ ที่พวกเขามีร้านค้าปลีกที่สามารถนำเข้าอาหารได้" Hourston กล่าว และเรียกการกระทำนี้ว่า "กีฬาคาวเลือด"
ด้านทางการของหมู่เกาะแฟโรแก้ต่างว่า การ "ล่าวาฬ" ถูกจัดขึ้นอย่างมีมนุษยธรรมและได้รับการควบคุมดูแลอย่างเต็มที่ โดยใช้หอกพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อสามารถสังหารสัตว์ได้ภายใน 1-2 วินาที
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม Blue Planet Society เตือนว่ากฎระเบียบยังไม่เพียงพอ และหากปล่อยให้พฤติกรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไป จะเป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญพันธุ์ได้
แม้ว่าวาฬจะยังไม่ถือว่าถูกคุกคาม แต่ประชากรของสัตว์ป่าทั่วโลกลดลงถึง 69% นับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ตามรายงานขององค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลก
ขณะที่นักอนุรักษ์ทั่วโลกเรียกร้องให้สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรใช้มาตรการเพื่อหยุดยั้งการฆ่าล้างผลาญครั้งนี้ ชาวหมู่เกาะแฟโรยังคงเห็นต่างและมองว่าการคัดค้านจากนานาชาตินี้เป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรมเท่านั้น
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง