ประเทศไทยติดอันดับ 5 ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดของโลก ในขณะที่ผลวิจัยระดับโลกโดยองค์กรระหว่างประเทศ 12 แห่ง พบว่า "โคคา-โคล่า" เป็นแบรนด์สินค้าที่ก่อมลพิษพลาสติกสูงที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 11% ของมลพิษพลาสติกจากแบรนด์สินค้าทั้งหมดทั่วโลก รองลงมาคือ เป๊ปซี่โค สัดส่วน 5% ตามมาด้วยเนสท์เล่ และดานอน สัดส่วน 3% เท่ากันโดยยังมีอีก 13 บริษัทจากผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ สร้างขยะพลาสติกในสัดส่วนมากกว่า 1% ของทั้งหมด ขยะเหล่านี้มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น
การวิจัยขยะพลาสติกจากการสังเกตการณ์ระยะเวลา 5 ปี ใน 84 ประเทศ พบว่า บริษัทเอกชน 56 บริษัท เป็นผู้ก่อมลพิษพลาสติก (plastic polluters) รวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของมลพิษพลาสติกจากแบรนด์สินค้าทั้งหมดทั่วโลก
ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือในปี 2000 โลกมีการผลิตพลาสติกมากขึ้นสองเท่าเป็น 400 ล้านตัน เมื่อเทียบกับสถิติในปี 2019 ซึ่งมีการผลิตพลาสติกที่ระดับ 200 ล้านตัน
ผลวิจัยพบว่า โคคา-โคล่า (Coca-Cola Company) เป็นแบรนด์สินค้าที่ก่อมลพิษพลาสติกสูงที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 11% ของมลพิษพลาสติกจากแบรนด์สินค้าทั้งหมดทั่วโลก รองลงมาคือ เป๊ปซี่โค (PepsiCo) ในสัดส่วน 5% ตามมาด้วยเนสท์เล่ (Nestle) และดานอน (Danone) ที่ 3% เท่ากัน นอกจากนี้ยังมีอีก 13 บริษัทจากกลุ่มผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ ที่สร้างขยะพลาสติกในสัดส่วนมากกว่า 1% ของทั้งหมด
เคที วิลลิส นักวิจัยจากองค์การวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ (CSIRO) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย กล่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน ว่า การค้นพบนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม และเน้นย้ำถึงความสำคัญของวิธีการแก้ปัญหาพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastics) ซึ่งรวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน ที่จะช่วยลดความต้องการใช้พลาสติกใหม่ทั่วโลก
นักวิจัยกล่าวว่า วิธีการแก้ปัญหาพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ยังรวมถึงการเพิ่มความสามารถในการนำผลิตภัณฑ์นั้นๆ กลับมาใช้ซ้ำ การซ่อมแซม และการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วย มลพิษพลาสติกจากแบรนด์สินค้า และมลพิษพลาสติกที่ไม่ได้มาจากแบรนด์สินค้าซึ่งพบในสิ่งแวดล้อมนั้น มีสัดส่วนพอๆ กัน หรือราวครึ่งต่อครึ่ง
งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารวิชาการ Science Advances ชิ้นนี้ เป็นการทำงานร่วมกันของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง นำโดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Dalhousie University ในแคนาดา
โทนี่ วอล์คเกอร์ ผู้ร่วมเขียนรายงานจากคณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัย Dalhousie กล่าวว่า บริษัทผู้ก่อมลพิษขยะพลาสติกหลายรายมาจากบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ระดับโลก ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหล่านี้สามารถเข้าถึงตลาดทุกประเทศในโลก
ข้อมูลส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือในปี 2000 โลกมีการผลิตพลาสติกมากขึ้นสองเท่าเป็น 400 ล้านตัน เมื่อเทียบกับสถิติในปี 2019 ซึ่งมีการผลิตพลาสติกที่ระดับ 200 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของโคคา-โคล่า ระบุว่า บริษัทได้ตั้งเป้าหมายจะปรับเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมดทั่วโลกภายในปี 2025 และตั้งเป้านำวัสดุรีไซเคิลแล้วอย่างน้อย 50% มาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2030
ที่สำคัญคือ โคคา-โคล่า มีเป้าหมายในการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ประเภทขวดและกระป๋องทุกใบที่บริษัทจำหน่ายไป เพื่อนำกลับมาเข้ากระบวนการรีไซเคิล โดยตั้งเป้าทำให้ได้ในปี 2030
ด้าน เป๊ปซี่โค ก็ได้ออกแถลงการณ์เช่นกันเมื่อวัน 24 เมษายนว่า บริษัทได้ทุ่มงบลงทุนอย่างมากในระยะกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์ และนำนโยบาย "นำกลับมาใช้ใหม่" (reuse) มาใช้ พร้อมทั้งพัฒนาวิธีการต่างๆ ที่จะเก็บคืนและรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์
ขณะที่ เนสท์เล่ ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกันว่า บริษัทตระหนักดีถึงปัญหาขยะว่ามีความสำคัญ โดยมีโครงการพัฒนาระบบการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ คัดแยก และรีไซเคิล ในหลายภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป แอฟริกา เอเชีย อเมริกาเหนือ หรือละตินอเมริกา
ในขณะที่ ดาน่อน ยังไม่ออกมาตอบคำถามสื่อในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดโดยบริษัทบรรจุภัณฑ์ RAJA เปิดเผยอันดับต้นๆ ของประเทศทั่วโลกที่ผลิตขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุด ดังนี้
อ้างอิง :
https://www.euronews.com/green/2021/06/22/ranked-the-top-10-countries-that-dump-the-most-plastic-into-the-ocean
https://english.news.cn/20240426/217796b87d284b93a781b0e6f2c4e6e5/c.html
https://www.cbc.ca/news/climate/plastic-study-canada-1.7182609
https://www.washingtonpost.com/climate-environment/2024/04/24/plastic-pollution-companies-responsible/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง