วันนี้ (3 ธันวาคม 2567) นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ Shaping Thailand’s Sustainable Future ภายในงาน Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business ที่จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน โดยเนื้อหาการบรรยายครอบคลุมประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
นายศุภชัยกล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมาย SDGs 17 ข้อ ไว้ตั้งแต่ปี 2558 โดยตั้งเป้าหมายความสำเร็จในปี 2573 อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน โลกทำได้เพียง 17% ของเป้าหมาย ทำให้ต้องเร่งเครื่องผ่านแนวคิด Forward Faster โดย 1 ใน 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งผลักดัน คือการสร้างแหล่งทุนมหาศาลกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับ SDGs
นายศุภชัยได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่โลกกำลังเผชิญ ภายใต้แนวทางที่เรียกว่า 3D ได้แก่
นายศุภชัยเสนอว่าการจัดการกับปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยพลังงานสะอาด เช่น "พลังงานนิวเคลียร์" โดยย้ำว่าพลังงานนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นตราบาปแต่ควรนำมาใช้เพื่อประโยชน์ด้านพลังงานที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงบทบาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google และ Walmart ที่เริ่มลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์และโครงการ Green Fund เพื่อสนับสนุนซัพพลายเออร์ให้ลดการปล่อยคาร์บอน ในส่วนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ นายศุภชัยเผยว่ามีเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2594 (ค.ศ.2050) แม้จะยังมีความท้าทาย โดยในปี 2567 เครือฯ ต้องซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่ยังลดไม่ได้ตามเป้าหมาย
นายศุภชัยชี้ว่า การขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน คาร์บอนแคปเจอร์ และไมโครนิวเคลียร์รีแอคเตอร์ จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมถึงความสำคัญของการดึงดูดเงินทุนเข้าสู่โครงการที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย SDGs พร้อมยกตัวอย่างโครงการ Green Bond และการเทรดคาร์บอนเครดิตที่ประเทศไทยเริ่มดำเนินการแล้ว
อีกหนึ่งประเด็นคือการเสนอให้เปลี่ยน "ป่า" ให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการจัดการป่าไม้ผ่านการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและการลงทุนในโครงการที่ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลป่า และชี้ว่าหากชุมชนสามารถสร้างรายได้จากการดูแลป่า จะช่วยลดการบุกรุกและเพิ่มพื้นที่สีเขียวในประเทศได้ โดยชุมชนที่ดูแลพื้นที่ป่า 50,000 ไร่สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 27 ล้านบาทต่อปี
นายศุภชัยเสนอว่า การสร้าง "ทุนมนุษย์" เป็นรากฐานสำคัญของอนาคตที่ยั่งยืน โดยการปฏิรูปการศึกษาควรมุ่งเน้นการเปลี่ยนโรงเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ แทนที่จะเป็นเพียงสถานที่ถ่ายทอดความรู้ และสนับสนุนให้มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย SDGs 17 ข้อในหลักสูตรการศึกษา เพื่อปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องความยั่งยืนตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงชุมชน
ในช่วงท้าย นายศุภชัยได้กล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชน โดยย้ำว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียงส่วนหนึ่งของ CSR แต่เป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจ การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศ พร้อมเน้นย้ำถึง 3 ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน ได้แก่ ความฝัน ความมั่นคง และความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ตั้งแต่บุคคล ครอบครัว ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจและสังคมในระดับโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง