นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า วันที่ 26 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมาทางสมาคมฯ ได้ต้อนรับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ลงพื้นที่ในเขตหนองจอกเพื่อพบปะกับพี่น้องเกษตรกรชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง และได้ตรวจดูจุดที่สำนักงานกรมชลประทานนำเครื่องสูบน้ำมาช่วยเกษตรกรชาวนาในเขตหนองจอก
ในวันดังกล่าวทางสมาคมฯได้เสนอข้อเรียกร้องอยากให้ชาวนามีเงินเดือนขั้นต่ำ 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณ เพราะอาชีพชาวนาเป็นอาชีพที่เลี้ยงคนทั้งโลก และเพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับคนรุ่นใหม่หันมาทำนากันมากขึ้น เพราะทุกวันนี้อาชีพนี้มีแต่จะลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ และจะมีแต่คนสูงอายุ ดังนั้นจึงได้นำเสนอข้อเรียกร้องดังกล่าว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของโลกและประเทศไทย และเพื่อความยั่งยืนในอาชีพชาวนาไทยให้มีความมั่นคง
“ทางรัฐมนนตรีเกษตรฯ เห็นด้วย พร้อมรับปากว่าจะไปนำเรื่องไปเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งทางสมาคมเห็นว่า ในวันที่ 5 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ ตรงกับวันสำคัญของชาวนาไทย และความผูกพันไปถึงสถาบัน กล่าวคือ เป็น “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” เนื่องจากวันที่ 5 มิถุนายน 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทอดพระเนตรการทำนาที่อำเภอบางเขน และทอดพระเนตรกิจการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งได้ทรงหว่านข้าวด้วยพระองค์เองในแปลงนา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานต่อชาวสยาม และข้าวไทย เป็นวาระสำคัญต่อกิจกรรมข้าวไทย ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการผลิตในการกำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”
นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องอื่นๆ ได้แก่ 1.พันธุ์ข้าวที่รับรองใหม่ 10 สายพันธุ์ ในขณะนี้ก็ยังไม่ถึงพี่น้องเกษตรกรเลย อยากให้กรมการข้าวในเรื่องนี้เพื่อให้ออกมาทันฤดูการผลิต และ 2. เรื่องแหล่งน้ำ เป็นต้น ที่ผ่านมาในช่วงฤดูแล้งต้องขอขอบคุณอธิบดีกรมชลประทาน ที่ได้จัดเจ้าหน้าที่และหน่วยงานขนส่งน้ำมันมาเติมเครื่องสูบน้ำตามที่สมาคมร้องขอ ไม่เว้นกระทั่งวันหยุด ทำให้ชาวนารอดพ้นจากวิกฤตขาดเคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งไปได้
นายปราโมทย์ กล่าวว่า ทางรัฐมนตรียังขอฝากเรื่องถึงพี่น้องชาวนาทั่วประเทศ 4.6 ล้านครัวเรือน ระบุ จะช่วยเหลือเกษตรกรเท่าที่ช่วยได้เพราะเป็นห่วงเรื่องความเดือดร้อน ที่ทำทุกวันนี้ทำด้วยใจด้วยจิตอาสาไม่มีผลประโยชน์ใดมาแอบแฝงและไม่เคยคิดสร้างภาพทำจริง พูดจริงทุกอย่างชัดเจน และขอยืนยันว่าจะทำเพื่อพี่น้องเกษตรกรทุกจังหวัด ที่ร้องขอมาเรื่องความเดือดร้อน
นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ ที่ปรึกษาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวถึง วันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งตรงกับ “วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ” ว่า คนไทยได้ทำนากันมาอย่างยาวนาน ทั้งชาวนาในเขตชลประทาน และพื้นที่นาน้ำฝน ต่างก็เข้าใจวิถีและวิธีการทำนาในพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี แต่ปัญหาเดิมที่ชาวนายังคงประสบอยู่ถึงปัจจุบันคือ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
“หากจะมองการทำนาเปรียบเสมือนอาชีพหรือธุรกิจประเภทหนึ่ง เราก็จำเป็นต้องเข้าใจบริบทของธุรกิจทุกประเภท ว่าหัวใจหลักคือการบริหารต้นทุน นอกจากรับรู้รายได้จากการขายข้าวเปลือกแล้ว ต้องเข้าใจว่ารายจ่ายหรือต้นทุนที่แท้จริงมีอะไรบ้าง จากนั้นจึงนำต้นทุนที่ได้มาวิเคราะห์ หาข้อมูลเพิ่มเติมว่า จะสามารถลดส่วนไหนให้ต้นทุนต่ำลง แต่ยังคงได้ผลผลิตสูงอยู่ หากมองแปลงนาเปรียบเสมือนโรงงาน ชาวนาต้องหาวิธีที่ลดต้นทุนใช้ทรัพยากรที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้เกิดผลิตภาพสูงที่สุดตามขีดความสามารถของชาวนาในแต่ละพื้นที่"
แม้ที่ผ่านมาชาวนาในแต่ละพื้นที่ก็ได้ลองผิดลองถูกมานานทั้งเรื่องการใช้ปุ๋ย ฉีดยา ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ชาวนาจะได้นำปัญหาและประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา มาวิเคราะห์ เพราะทุกค่าใช้จ่ายในการทำนาต้นทุนคงที่ ผันแปร และต้นทุนแฝง ต่างนับเป็นต้นทุนทั้งสิ้น หากไม่นำมาคำนวณเป็นต้นทุนให้ครบถ้วน ทำไปทำมานอกจากไม่เหลือกำไรแล้ว ทุนก็อาจจะหายด้วย เพราะเราคิดคำนวณคร่าว ๆ ว่ามีกำไร แต่ความเป็นจริงกำไรไม่ได้มากอย่างที่คิดไปเอง และการกู้มานั้นตอบโจทย์ที่เราเจออยู่หรือไม่ เพราะด้วยโครงสร้างที่รายได้รวมไม่มากพอ การกู้กลับจะยิ่งเป็นการสร้างภาระ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารหนี้สินให้ดีเมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูก ปัจจุบันชาวนาซื้อจากร้านค้าของผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเมล็ดพันธุ์ที่จำหน่ายได้มีการพัฒนาพันธุ์ และ คัดสายพันธุ์มาแล้ว
แต่ปัญหาคือชาวนาควรที่จะต้องพิถีพิถันในการเลือกเมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่เรารับซื้อมาให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันมีบางแหล่งที่นำเมล็ดพันธุ์ไม่ตรงกับที่อ้างมาขาย หรือเมล็ดพันธุ์ที่ขายไม่เป็นไปตามที่โฆษณา ปลูกแล้วไม่งอก มีเมล็ดอย่างอื่นปลอมปน สายพันธุ์ไม่ตรงตามที่ต้องการ ซึ่งจะกลายมาเป็นปัญหาและการเสียโอกาสของชาวนาในที่สุด ดังนั้นชาวนาเองต้องช่วยกันจดจำและหลีกเลี่ยงไม่ซื้อเมล็ดพันธุ์จากแหล่งดังกล่าวอีก ควรเลือกซื้อเมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
ส่วนพันธุ์ข้าวที่จะเลือกปลูก ให้ดูจากพันธุ์ที่เราต้องการเหมาะกับพื้นที่ ปลูกแล้วขายได้ราคาดี ระยะเวลาเพาะปลูกสั้น/ยาว มีแหล่งรับซื้อผลผลิต ปัจจัยเหล่านี้ชาวนาก็ต้องดูให้เหมาะสมกับที่เราวางแผนเพาะปลูก ของแต่ละพื้นที่ อีกทั้งปัจจุบันพันธุ์ข้าวก็มีหลากหลาย มีทั้งพันธุ์ที่ผ่านการรับรองและไม่ผ่านการรับรอง จะเลือกพันธุ์ใดต้องศึกษาให้ดี มิฉะนั้นจะเป็นเหยื่อของผู้ขายเมล็ดพันธุ์ที่ไม่หวังดีหรือหาผลประโยชน์จากการขายเมล็ดพันธุ์
สำหรับเรื่องรายได้ชาวนา เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาข้าวถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ในช่วงที่มีกำไร ชาวนาควรมีการจัดสรร เงินบางส่วนมาปรับปรุงพัฒนาแปลงนาให้บริหารจัดการน้ำได้ง่ายขึ้น (ในเขตพื้นที่ๆจัดการได้) เพื่อช่วยลดต้นทุน เช่น ปัญหาพื้นนาไม่เสมอ คันนารั่ว ทำให้คุมน้ำคุมวัชพืชยาก ต้องฉีดยากำจัดวัชพืชมากขึ้น ปัญหาข้าวดีด ข้าววัชพืช ทั้งหมดนี้ทำให้ต้นทุนสูง หากลงทุนกับแปลงนาเพื่อลดค่าใช้จ่ายเรื่องกำจัดวัชพืชได้ก็จะลดต้นทุนลงได้มากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ยังมีเงื่อนไขเรื่องของแหล่งน้ำและนาเช่า
ส่วนพื้นที่บริเวณนาน้ำฝน (ปลูกหอมมะลิ) หากปีไหนน้ำดี ที่ลุ่มจะได้ผลผลิตข้าวเกี่ยวสดประมาณ 500-700 กก./ไร่ ส่วนปีไหนน้ำฝนดีสม่ำเสมอตกทั่วพื้นที่ "นาลุ่มได้ นาดอนดี" และ หากปีไหนฝนไม่สม่ำเสมอ "นาลุ่มได้ นาดอนเสียหาย" แต่หากปีไหน ฝนมากเกิน "นาดอนได้ นาลุ่มเสียหาย" ชาวนาก็จะต้องวนกับสภาวะเช่นนี้ ผลผลิตจะต้องขึ้นกับปัจจัยธรรมชาติตลอดเวลา ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ชาวนาต้องเจอหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญสำหรับภาครัฐที่จะต้องวางแผนสำหรับช่วยเหลือเกษตรกร ลดปัญหาความเสี่ยงทั้งน้ำท่วม-น้ำแล้ง
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ไม่สามารถนำรายได้ของชาวนารายย่อยที่ทำนา 10-20 ไร่ มาเปรียบเทียบกับชาวนารายใหญ่ที่ทำนา 100-200 ไร่ ได้ เพราะข้อจำกัดทางพื้นที่ทำให้ จุดคุ้มทุนต่างกัน อัตราส่วนรายได้ต่อค่าใช้จ่ายย่อมไม่เท่ากัน มูลค่ารวมและกำไรสุทธิของชาวนาแปลงใหญ่ย่อมดีกว่า บริหารความเสี่ยงได้ง่ายกว่า และมีโอกาสในการต่อยอดมากกว่า จึงต้องทิ้งน้ำหนักให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากสภาวะอากาศผันแปร ทั้งเอลนีโญและลานีญา นับวันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อชาวนายิ่งขึ้นและหลีกเลี่ยงได้ยาก ตัวอย่างเช่น ปีที่ผ่านมาไทยเราเจอผลกระทบจากลานีญา คือแล้งกว่าปกติ ดังนั้นเรายิ่งจะต้องคำนึงถึงรอบการเพาะปลูก วางแผนการเพาะปลูกให้ถี่ถ่วนมากขึ้น จากเดิมที่เคยปลูก 3 ครั้งต่อปี อาจจะต้องลดเป็น 2 ครั้งต่อปี และเลือกจังหวะเพาะปลูกให้เหมาะสมกับชนิด/สายพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด ดูจังหวะข้าวออกรวง, ตั้งท้อง, ตากดอก ให้ไม่ตรงกับช่วงร้อน/หนาวเกินไป ก็พอจะช่วยลดความเสี่ยง ได้พักหน้าดิน และมีจังหวะปรับปรุงแปลงนา
ส่วนชาวนาที่มีนาหลายแปลงและอยู่ห่างไกลกัน ที่เรียกนาโดด อยู่พื้นที่ลุ่มดอนต่างกัน ดูแลยากและไม่ทั่วถึง ทำให้บริหารจัดการยาก อาจมีบางแปลงได้บางแปลงเสีย ชาวนาควรจะต้องเลือกทำบางแปลงที่น่าจะได้ผลผลิตดีกว่าหรือไม่ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเงินลงทุนในแปลงที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้น
นอกจากการวางแผนเพาะปลูกแล้ว ชาวนาควรที่จะต้องกลับมาวิเคราะห์โจทย์ที่ตั้งไว้ด้วย เนื่องจากชาวนาบางครั้งก็ตั้งเป้าให้ "ได้ผลผลิตสูงที่สุด" โดยที่ไม่พยายามควบคุมต้นทุนการผลิตเลย (ทุ่มใส่ปุ๋ย-ฉีดยาอย่างเต็มที่) และหากผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้า กำไรต่อต้นทุนที่ลงไปจะต่ำมากหรืออาจขาดทุนได้
ในทางกลับกัน ชาวนาอีกกลุ่มที่ตั้งใจ "ควบคุมต้นทุน" (ใส่ปุ๋ย ฉีดยา อย่างสมเหตุสมผล) คุมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง กลับมีสัดส่วนกำไรต่อต้นทุนสูงกว่า ทำให้เหลือกำไรมากขึ้น หรือสามารถนำทุนส่วนที่ใส่ปุ๋ยฉีดยาเกินนี้ไปพัฒนาปรับปรุงแปลงนา เช่น ปรับระดับแปลงนา จะคุ้มค่าเป็นผลตอบแทนกลับมาในระยะยาวมากกว่า ดังนั้นอย่ามองที่มุมของลงทุนสูงเพื่อหวังผลผลิตสูงเพียงอย่างเดียว บางครั้งการคุมโรคพืชโรคแมลงและวัชพืชต่าง ๆ ในเชิงป้องกัน ก็มีหลากหลายวิธี (นอกเหนือจากการกำจัดโดยฉีดยาที่มีทั้งต้นทุนค่ายาและค่าแรง) ต้องลองศึกษาและปรับดูควบคุมตรวจสอบต้นทุนของตน ว่าสูงมากเกินไปหรือไม่ เพื่อไม่ให้ต้นทุนเหล่านี้กินกำไรจากการขายข้าวเปลือกไปจนหมด
ส่วนเรื่องของการทำนาเองต่างกับการจ้างทำนาหรือไม่ ในความเป็นจริง เมื่อคำนวณทุกอย่าง (รวมทั้งค่าแรง) เป็นต้นทุนคือไม่แตกต่างกัน เจ้าของนาสามารถจ้างคนมาทำนาเพื่อที่ตนเองจะได้สามารถไปบริหารงานส่วนอื่นๆได้ อีกทั้งปัจจุบัน การทำนาก็ไม่ได้ยากเหมือนในอดีต ที่ใช้แรงงานเป็นหลัก แต่มีตัวช่วยมากขึ้น มีคนรับจ้างทำนา มีการนำนวัตกรรมมาใช้มากขึ้น เช่น มีการใช้โดรน ช่วยในการหว่านปุ๋ย หว่านพันธุ์ข้าว และพ่นยา มากขึ้น และมีคนรับจ้างทำทั้งหมด ซึ่งก็มีชาวนาบางส่วนมองว่าหากจ้างทั้งหมดแล้วจะเหลือกำไรจากไหน ในความเป็นจริงต้นทุนจ้างหรือทำเองไม่ต่างกันเลย ต่างที่การบริหารจัดการ หากเราคำนวณทุกอย่างเป็นค่าจ้างทั้งหมด แม้แต่ค่าแรงของเจ้าของนาที่ทำเอง รวมถึงค่าเช่านาตนเอง ก็จะชัดเจนว่าไม่มีความแตกต่าง แต่การบริหารต้นทุน (ควบคุมต้นทุน) ต่างหากที่ทำให้ได้ผลกำไรต่างกัน
ท้ายนี้ หากชาวนาไทยยังคงจะยึดอาชีพทำนานี้ต่อไป เราก็จำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์อย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาราคาข้าวถือว่าสูงทำให้ภาพรวมรายได้ชาวนาไทยสูงตาม แต่ในอนาคตราคาจะยังยืนแบบนี้หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง หากเราไม่นำสิ่งที่ผ่านมาในอดีตมาวิเคราะห์พัฒนา รวมถึงการที่ภาครัฐจะคอยสนับสนุนอย่างที่ผ่านมาคงจะไม่ใช่สามารถมีได้ตลอดไป อีกทั้งการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่รุนแรงมากขึ้น และนโยบายของประเทศผู้นำเข้ามีแนวโน้มที่จะมีกฎเกณฑ์เรื่องคาร์บอนต่ำเข้ามาบังคับใช้ ทำให้ชาวนาเรายิ่งต้องปรับตัวให้เร็วและทันสถานการณ์มากขึ้น
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า จากมุมมองในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่เข้ามาทำนา มองว่า การทำนาก็ยังเป็นการสร้างโอกาสและสร้างรายได้ และสามารถยึดเป็นอาชีพหลักได้ แต่ก็ขึ้นกับประสบการณ์ และการบริหารข้อมูลและบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพที่สุด และทำนาอย่างพิถีพิถัน ไม่ควรเน้นเฉพาะผลผลิตต่อไร่ ควรดูที่ "ต้นทุนต่อกิโลกรัมข้าวเปลือกที่ผลิตได้" เป็นหลักด้วย และคู่ขนานไปด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวนาก็คือเรื่องของ "น้ำ" ทั้งแหล่งน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำบนดิน และแหล่งน้ำใต้ดิน คลองชลประทาน คลองสาธารณะ พื้นที่จัดรูปที่ดิน คลองไส้ไก่ คลองส่งน้ำ ต่าง ๆ เหล่านี้ เนื่องจากมีมานาน หรือถูกสร้างมานานแล้ว สภาพพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ระดับน้ำก็เปลี่ยน ทำให้การส่งน้ำ ระบายน้ำ หลายแห่ง ทำไม่ได้เหมือนในอดีต ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ มีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยลดต้นทุนในการบริหารจัดการแปลงนาได้มาก
อีกส่วนที่สำคัญเช่นกันคือเรื่องของ "พันธุ์ข้าว" ต้องพัฒนาพันธุ์ให้ได้ผลผลิตต่อไร่ (ข้าวแห้ง) ไม่ต่ำกว่า 1,200 กก./ไร่ ระยะเวลาเพาะปลูกไม่เกิน 100 วัน มีหลากหลายพันธุ์ ทั้งพันธุ์พื้นนุ่มและพื้นแข็ง ทั้งพันธุ์ที่มีกลิ่นหอม และ ไม่มีกลิ่นหอม เพราะมีตลาดในต่างประเทศต้องการเป็นจำนวนมาก
"ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะมาบอกหรือสอนวิธีทำนาให้กับชาวนาแต่อย่างใด เพียงแต่ที่ผ่านมา หลังจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยน และคลุกคลีกับชาวนามานาน ได้เห็นทั้งชาวนาบางส่วนที่ประสบความสำเร็จในการทำนา และชาวนาบางส่วนที่ยังติดกับดักหนี้สิน เพราะบางพื้นที่ก็ท่วมซ้ำซาก แล้งซ้ำซาก และยังทำให้เข้าใจและรับรู้ได้ว่า ชาวนาในแต่ละพื้นที่ต่างก็มีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อต้นทุนที่แตกต่างกันไป (แค่ความใกล้-ไกลแหล่งน้ำที่ต่างกัน ก็ทำให้ชาวนาแต่ละรายมีต้นทุนที่ต่างกันแล้ว) แต่ทุกคนจะปรับตัว จดบันทึก วิเคราะห์ และเอาตัวรอดอย่างไร มีกำไรมากขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจให้เกษตรกรชาวนาทุกท่าน" นายเกรียงศักดิ์ กล่าว