นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า อคส.เตรียมนำข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลล็อตสุดท้าย ที่เปิดประมูลไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย.2565 รวม 230,705.71 ตัน แต่ผู้ชนะประมูลไม่มารับมอบ หรือขนข้าวออกจากโกดัง 15,013.25 ตัน โดยจะนำมาเปิดประมูลใหม่ในวันที่11ส.ค.นี้ และต้องส่งมอบให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.2566 หลังจากที่ อคส. ได้บอกเลิกสัญญา และเรียกค่าเสียจากผู้ชนะประมูลแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ย.2565 อคส. ได้เปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกจากโครงการรับจำนำล็อตสุดท้ายรวม 230,705.71 ตัน เป็นข้าวในคลังกลาง นอกคลังกลาง และนอกบัญชี (โครงการปี 2548/49)
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ข้าวสารเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555, นาปีปี 2555/56 และปี 2556/57 2.ข้าวสารที่ขายเป็นการทั่วไป ปี 2555/56 และ 3.ข้าวสารที่โกดังและคลังสินค้าค้างส่งมอบเข้าโกดังกลาง ปี 2548/49 และปี 2554/55โดยหลังเปิดประมูล มีผู้เสนอซื้อครบทั้งหมด ราคาเกือบ 1,000 ล้านบาท
แต่ต่อมาพบปัญหาผู้ชนะประมูลไม่มารับมอบข้าวออกจากโกดัง ยังเหลืออีก 55,362.42 ตัน คิดเป็น 24% ของปริมาณข้าวที่ประมูลได้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ชนะประมูลไม่มารับมอบ รวม 15,013.25 ตัน ซึ่ง อคส. ได้บอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากผู้ซื้อ โดยข้าวจำนวนนี้ อคส. จะนำมาประมูลใหม่วันที่ 11 ส.ค.2566 และส่งมอบให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.2566 ส่วนกลุ่มที่ 2 รอการชดใช้จากบริษัทประกันภัย 19,076.75 ตัน เพราะข้าวเกิดความเสียหาย เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้
ซึ่งล่าสุดบริษัทประกันภัยได้ออกใบเคลมให้ครบหมดแล้ว อยู่ระหว่างการชำระเงินและส่งมอบให้เสร็จสิ้นภายในเดือนก.ย.2566 และกลุ่มที่ 3 เจ้าของคลังยึดหน่วง ไม่ปล่อยข้าวให้ผู้ชนะประมูล 21,272.42 ตัน เก็บอยู่ในคลัง 2 หลัง อคส. จะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกค่าเสียหาย และขออำนาจศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อนำข้าวมาส่งมอบให้ผู้ซื้อต่อไป โดยเร็วๆ นี้ อัยการจะสรุปสำนวนฟ้อง 1 หลัง จำนวน 4,679.04 ตัน ส่วนอีก 1 หลังยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
“แม้ว่าการดำเนินการระบายข้าวให้หมด จะเป็นไปด้วยความลำบาก และมีอุปสรรคอย่างมาก แต่ อคส. จะสะสางปัญหาเหล่านี้ ให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายเดิม คือ ภายในเดือนก.ย.2566 เพื่อปิดบัญชี และดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายให้เสร็จสิ้น มิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการมากไปกว่านี้”