ข่าวดี "กรมปศุสัตว์" ไฟเขียวขยายเวลารับสมัครนมโรงเรียน ถึง 7 มี.ค. แล้ว

03 มี.ค. 2566 | 09:49 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2566 | 10:54 น.

ปลัดเกษตรฯ แจ้งข่าวดี อธิบดีกรมปศุสัตว์ เซ็นลงนาม ขยายเวลารับสมัครนมโรงเรียนปีการศึกษา 2566 วงเงิน 1.4 หมื่นล้าน ถึงวันที่ 7 มี.ค. แล้ว หลังประกาศเกณฑ์ใหม่ โรงนม-สหกรณ์ เตรียมเอกสารไม่ทัน

ข่าวดี "กรมปศุสัตว์" ไฟเขียวขยายเวลารับสมัครนมโรงเรียน ถึง 7 มี.ค. แล้ว

นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนว่า ล่าสุด นายสมชวน รัฒนมังคลานนนท์  อธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะประธานอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน  ได้ลงนามประกาศ  ณ วันที่ 3 มีนาคม 2566  เรื่อง ขยายระยะเวลารับแบบแสดงคุณสมบัติผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566  ซึ่งตามที่ได้มีประกาศคณะอนุกรรมการบริหารกลางโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เรื่อง การรับแบบแสดงคุณสมบัติผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม(นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566 ลงวันที่ 21  กุมภาพันธ์ 2566  

ยืนยันขยายระยะเวลารับสมัครนมโรงเรียน

โดยได้กำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566 สามารถยื่นแบบแสดงคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมโครงการได้ ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2566 (5 วัน) เวลา 08.00-16.30 น. ณ สำนักเทคโนโลยีชีวภาพการผลิตปศุสัตว์ ศูนย์ราชการกรมปศุสัตว์ จังหวัดปทุมธานีนั้น

เพื่อให้การดำเนินการรับแบบแสดงคุณสมบัติผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามข้อ 7 ของประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนประจำปีการศึกษา 2566  ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์  2566  จึงใด้ขยายระยะเวลาในการรับแบบแสดงคุณสมบัติผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม(นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2566  ออกไปจนถึงวันที่ 7 มีนาคม 2566  รวมวันหยุดราชการ (เวลา 08.00-16.30 น.)

 

แนบประกาศ

 

ข่าวดี "กรมปศุสัตว์" ไฟเขียวขยายเวลารับสมัครนมโรงเรียน ถึง 7 มี.ค. แล้ว

ด้าน นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย ขอขอบคุณปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์  ที่ได้เห็นชอบให้ขยายวันรับสมัครโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พลิกปูมประวัติศาสตร์นมโรงเรียน
ในช่วงปี 2552 เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด คณะรัฐมนตรี (ครม.)จึงได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เป็นกลไกของรัฐ ในการรับซื้อน้ำนมดิบส่วนเกินนำมาผลิตเพื่อจำหน่ายในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน และมีมติในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1.คณะรัฐมนตรี (28 ม.ค. 2552) เห็นชอบในหลักการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หรือ หน่วยงานรัฐ ที่มีงบประมาณจัดซื้อนมพร้อมดื่ม จัดซื้อจาก อ.ส.ค. ได้ โดยวิธีกรณีพิเศษตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้ อ.ส.ค. ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2552

2.คณะรัฐมนตรีมีมติ (10 มี.ค. 2552) ยกเลิกระบบการกำหนดเขตพื้นที่ หรือ โซนนิ่ง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดซื้อนมโรงเรียน โดยให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง และต้องตรวจสอบให้ผลิตภัณฑ์ที่จัดซื้อมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนด

รวมทั้งอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้แก่นักเรียน ตั้งแต่ชั้นก่อนวัยเรียนจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในวงเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 2,500 ล้านบาท ให้กับ อ.ส.ค. จัดซื้อนม ยู.เอช.ที. ให้กับโรงเรียนประถมศึกษาปีที่ 5-6 โดยตรง และงบประมาณส่วนที่เหลือให้ อปท. ที่มีศักยภาพและความพร้อมทางการเงินการคลังจัดซื้อนมโรงเรียน โดยใช้เงินของ อปท.ไปก่อน แล้วขอเบิกจ่ายคืนในภายหลัง ส่วน อปท. ใดไม่มีงบประมาณให้ของบประมาณจากรัฐบาล

3.คณะรัฐมนตรีมีมติ (13 พ.ค. 2552) เห็นชอบให้ อปท. จัดซื้อนม ยู.เอช.ที. สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 โดยวิธีกรณีพิเศษ จาก อ.ส.ค. และผู้ประกอบการนม ยู.เอช.ที. อีก 4 ราย ที่ช่วยรับซื้อน้ำนมดิบส่วนเกินตามแผนการดื่มนมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 30 ก.ย. 2552

4.คณะรัฐมนตรีมีมติ (23 มิ.ย. 2552) เห็นชอบให้ทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2552 (ตามข้อ 2.1.2) ในประเด็นเกี่ยวกับวงเงินงบประมาณส่วนที่เหลือกว่า 2 พันล้านบาท โดยอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลางรายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 604 ล้านบาท ให้แก่ อ.ส.ค. เพื่อจัดซื้อนม ยู.เอช.ที. จำนวน 80 ล้านกล่อง ส่งมอบให้เด็กก่อนวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดื่มเป็นเวลา 15 วัน สำหรับวันหยุดประจำสัปดาห์ และจำนวนกว่า 1,458 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยนำไปจัดสรรให้ อปท. และกระทรวงศึกษาธิการ นำไปจัดซื้อนมโรงเรียนให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ให้ครบถ้วน

ข่าวดี "กรมปศุสัตว์" ไฟเขียวขยายเวลารับสมัครนมโรงเรียน ถึง 7 มี.ค. แล้ว

5.คณะรัฐมนตรี (15 ธ.ค. 2552) เห็นชอบในหลักการแนวทางการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน (แบ่งโครงสร้างบริหารจำนวน 5 ข้อ และแนวทางการบริหาร จำนวน 4 ข้อ) ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม หรือ มิลค์บอร์ด ครั้งที่ 8 /2552 เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2552 และครั้งที่ 9/2552 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2552 มีโครงสร้างบริหารนมโรงเรียนให้มีองค์กรกลาง ซึ่งเป็นคณะกรรมการกลาง 4 ฝ่าย ได้แก่ ภาคราชการ ฝ่ายเกษตรกร ผู้ประกอบการแปรรูป และผู้แทนฝ่ายจัดซื้อ รวม 19 คน เป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการระบบนมโรงเรียน โดยให้ อ.ส.ค. เป็นหน่วยงานรัฐ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการขององค์กรกลาง เป็นผู้แทนในการบริหารจัดการ (คณะกรรมการกลาง เป็นคณะอนุกรรมการในกำกับการดูแลของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม)

6.คณะรัฐมนตรี (16 ก.พ. 2553) รับทราบมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับแนวทางการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ทุกหน่วยงาน ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อจัดซื้ออาหารเสริม (นม)โรงเรียน จัดซื้อจาก อ.ส.ค. โดยวิธีกรณีพิเศษ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่น ซึ่งมีวิธีการทำนองเดียวกันได้ ตามนัยระเบียบว่าด้วยพัสดุที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือปฎิบัติ ทั้งนี้ ให้ อ.ส.ค. ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวไม่เกินสิ้นเดือน ก.ย. 2556

ปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรี (26 มี.ค. 2562) ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการนมโรงเรียนใหม่ โดยแยกโครงสร้างการบริหารออกจากมิลค์บอร์ด เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากมีผู้มีส่วนได้เสียร่วมเป็นกรรมการ จึงได้แต่งตั้ง "คณะกรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน" จำนวน 15 คน

ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ, หน่วยงานที่กำกับดูแล จำนวน 4 คน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการผลิต จำนวน 3 คน เป็นกรรมการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้รับบริการ จำนวน 3 คน เป็นกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิที่ประธานกรรมการแต่งตั้ง จำนวน 3 คน เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นกรรมการและเลขานุการ (โดยไม่มีองค์กรเกษตรกรและผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในโครงการฯ รวมเป็นกรรมการ)