การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ ถือว่ามีปัจจัยท้าทายมากมายตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ที่หดตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวอาเซียน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตลอดปี 2568 อาจลดลงราว 7 % โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 33.16 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อน
เมื่อดูเป็นรายตลาด จะพบว่าในปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ มีแนวโน้มติดลบสูงมาก ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีน ติดลบ 33% นักท่องเที่ยวฮ่องกง ติดลบ 29% นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ติดลบ 16% นักท่องเที่ยวไต้หวัน ติดลบ 11%
นักท่องเที่ยวเวียดนาม ติดลบ 33% นักท่องเที่ยวลาว ติดลบ 19% นักท่องเที่ยวกัมพูชา ติดลบ 55% มีเพียงนักท่องเที่ยวฟิลิปินส์ เพิ่มขึ้น 19.51% นักท่องเที่ยวอินเดีย เพิ่มขึ้น 16% และนักท่องเที่ยวเมียนมาร์ เพิ่มขึ้น 17%
การหดตัวของนักท่องเที่ยวจากจีนและอาเซียน สวนทางกับการตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล ที่เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ได้แก่ นักท่องเที่ยวรัสเซีย เพิ่มขึ้น 12% นักท่องเที่ยวประเทศในกลุ่ม CIS เพิ่มขึ้น 9% นักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้น 13%
นักท่องเที่ยวเยอรมนี เพิ่มขึ้น 11% นักท่องเที่ยวฝรั่งเศส เพิ่มขึ้น 14.3% นักท่องเที่ยวสวีเดน เพิ่มขึ้น 9% นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 5% นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้น 5% นักท่องเที่ยวอิสราเอล เพิ่มขึ้น 49.62% ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ติดลบ 0.84%
อย่างไรก็ตามแม้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลเพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ที่มีมากกว่า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 28 % ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้าไทย จึงส่งผลการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ จึงมีแนวโน้มติดลบหากเทียบกับปีที่ผ่านมา
ล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย (1 ม.ค.-16 พ.ย.2568) อยู่ที่ 28.2 ล้านคน สร้างรายได้ 1,308,132 ล้านบาท ทำให้ตลอดทั้งปีนี้คาดว่า ไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 33.16 ล้านคน ลดลง 7% สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.53 ล้านล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปี 2567 และต่ำกว่าเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ที่อยากจะดึงต่างชาติเที่ยวไทย 39 ล้านคน สร้างรายได้ 2.23 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้หากเทียบนักท่องเที่ยวรายภูมิภาค เปรียบเทียบกับปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2562) จะพบว่าในปีนี้ ไทยมีนักท่องเที่ยวจากตลาดอาเซียน ฟื้นกลับมาคิดเป็นสัดส่วน 91% นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ฟื้นกลับมาคิดเป็นสัดส่วน 52% นักท่องเที่ยวยุโรป เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 129%
นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 103% นักท่องเที่ยวจากเอเชียใต้ เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 122% นักท่องเที่ยวจากโอเชียเนีย (ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์) เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 108% นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 115% และนักท่องเที่ยวจากแอฟริกา เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด 105%
อย่างไรก็ตามชลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปีนี้ เกิดจากหลายปัจจัย ที่ส่งผลกระทบตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะกรณีของหวัง ซิง ที่ถูกสแกมเมอร์จากประเทศเพื่อนบ้านหลอกลวงพาตัวไป หลังจากเดินทางเข้าไทย ปัญหาแผ่นดินไหว
ปัญหาเศรษฐกิจโลกชลอตัว มาตรการภาษีตอบโต้ทรัมป์ สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 8% ตั้งแต่เดือนพ.ค.-ก.ย. ทำให้ค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวสูงขึ้นหากเทียบกับประเทศคู่แข่ง
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การบังคับใช้กฏหมายของไทยที่หย่อนยาน ภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศไทย จากวิกฤตความไม่ปลอดภัยของปัญหาสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์
การต้องเผชิญกับคู่แข่งหน้าใหม่ที่มีความพร้อม และความสดใหม่ของแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เวียดนาม จีน ปัญหาภัยธรรมชาติ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสิ่งอำนวยความสะดวก ผลิตภัณฑ์ บริการและบุคคลากรมีข้อจำกัด
ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2569 ที่ททท.วางเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้ท่องเที่ยว 7% ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท (รายได้จากตลาดต่างประเทศและไทยเที่ยวไทย) และคาดว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาใกล้เคียง 38 ล้านคน
ทำให้ททท.และภาคเอกชนท่องเที่ยว จึงบูรณาการความร่วมมือเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลขับเคลื่อนท่องเที่ยวต่อเนื่องถึงปีหน้า ใน 3 มาตรการ ที่จะให้เร่งดำเนินการภายใน 3 เดือน ดังนี้
1.การประชาสัมพันธ์และฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทย โดยเน้นการสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่น และการสื่อสารเชิงรุกเพื่อจัดการข่าวลบในสื่อสังคมออนไลน์ การออกมาตรการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย การสร้างความมั่นใจในการปราบปรามสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์
การโปรโมทท่องเที่ยวไทยโดย ลิซ่า ซึ่งเป็น Amazing Thailand Brand Ambassador ของททท. การจัดอีเว้นท์ระดับนานาชาติ ทั้งคอนเสิร์ตระดับโลกและกีฬา รวมถึงบิ๊กอีเว้นท์ อย่าง วิจิตรเจ้าพระยา 2568 ซีเกมส์ อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ เคาท์ดาวน์
2. การใช้ Tactical Campaign นำจุดเด่นด้านความคุ้มค่า กระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น การผลักดันโครงการ Inter-Dom Fight นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อตั๋วบัตรโดยสารเข้ามาประเทศไทย จะได้รับบัตรโดยสารเส้นทางภายในประเทศ การสนับสนุน Mice Incentive / Thailand Summer Blast เป็นต้น
3.การใช้มาตรการภาษี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ อาทิ มาตรการคนละครึ่ง มาตรการภาษีเที่ยวลดหย่อนภาษี สำหรับชาวไทยและการจัดประชุมสัมมนา มาตรการลดภาษีสรรพสามิตนั้นเครื่องบิน เพื่อนำไปลดราคาบัตรโดยสารและเพิ่มเที่ยวบินเส้นทางบินในประเทศ
การจัดทำโครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” โดยสนับสนุนผู้ประกอบการนำเที่ยว อาทิ ไกด์ ทัวร์ สายการบิน รถรางเรือ นำเที่ยว ที่จะเป็น Co-pay ภาครัฐ+สถานประกอบการ สนับสนุนไม่เกิน 3,000 บาท คน/ ทริป เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศผ่านผู้ประกอบการ
ในส่วนของข้อเสนอระยะกลางและระยะยาว ภาคเอกชนแนะนำให้คณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งชาติขับเคลื่อน 6 แผนงานสำคัญ ได้แก่ ปรับปรุงกฎหมายท่องเที่ยว ยกระดับมาตรฐานบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะเมืองรอง ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างสินค้าท่องเที่ยวใหม่ที่แข่งขันได้ในระดับโลก และสร้างภาพจำใหม่ของประเทศไทย
พร้อมเตือนว่าหากรัฐบาลไม่ดำเนินการทันเวลา ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกลดบทบาทจาก “จุดหมายปลายทางหลัก” เหลือเพียง “หนึ่งในตัวเลือก” ของนักท่องเที่ยวในอนาคต
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,151 วันที่ 23 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568