ทีเส็บดันไทยสู่ฮับงานแสดงสินค้าอาเซียน ชูโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง–รับงานระดับโลก

22 ต.ค. 2568 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2568 | 04:53 น.

ทีเส็บประกาศยุทธศาสตร์ดันไทยสู่ศูนย์กลางงานแสดงสินค้าอาเซียน ชูงาน Gastech 2026 และ UFI Asia Pacific 2026 ดึงเม็ดเงินลงทุน–นักธุรกิจทั่วโลกเข้าประเทศ สร้างรายได้กว่า 1.13 แสนล้านบาท

KEY

POINTS

  • ทีเส็บตั้งเป้าผลักดันไทยสู่การเป็น "ศูนย์กลางงานแสดงสินค้าที่ดีที่สุดในอาเซียน" โดยชูจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีพื้นที่จัดงานใหญ่เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค และได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดงานระดับโลก
  • ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก เช่น Gastech 2026 และ UFI Asia Pacific 2026 เพื่อตอกย้ำศักยภาพและสร้างแบรนด์ประเทศไทยในเวทีสากล
  • อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศเติบโตแตะ 113,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยมุ่งเน้นดึงดูดงานใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ (TCEB) กล่าวว่า ทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าของประเทศไทยว่า ขณะนี้การแข่งขันในธุรกิจ Exhibition โดยเฉพาะงานระดับนานาชาติ (International Exhibition) มีความรุนแรงมากขึ้น

ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่าง เวียดนาม และ มาเลเซีย ซึ่งเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านศูนย์ประชุมและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่จีนเริ่มหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจและการมุ่งตลาดภายในประเทศ ส่วน สิงคโปร์ แม้มีศักยภาพด้านการจัดประชุมระดับองค์กร แต่ไม่ได้เป็นประเทศฐานการผลิตสินค้า จึงมุ่งจัดงานประชุมในกลุ่มบริการ เช่น การเงิน ประกัน และดิจิทัลเป็นหลัก

การขับเคลื่อนในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำบทบาทของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าไทยและบทบาทของประเทศไทย ผ่านการใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งที่สั่งสมมา ทั้งในด้านทำเลที่ตั้งใจกลางอาเซียน การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โครงสร้างพื้นฐานสถานที่จัดงานที่ได้มาตรฐานสากลเพียงพอต่อความต้องการ ตลอดจนผลงานความสำเร็จในการจัดงานระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีที่พักและบริการระดับมาตรฐานสากลซึ่งได้รับรางวัลระดับโลก อีกทั้งนโยบายภาครัฐยังเปิดกว้างทางการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น การแพทย์ อาหาร พลังงาน และดิจิทัล ซึ่งล้วนสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าไทย

ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยมีความร่วมมือเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน ทำให้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานแสดงสินค้าระดับ “ASEAN Edition” หลายรายการของผู้ประกอบการต่างประเทศ ตอกย้ำบทบาทในฐานะแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการนานาชาติเข้าถึงตลาดอาเซียน และให้ผู้ประกอบการอาเซียนเชื่อมโยงสู่ตลาดโลก

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์

“ประเทศไทยมีพื้นที่จัดแสดงสินค้านานาชาติ มากเป็นอันดับ 4 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของอาเซียน ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่หนุนอุตสาหกรรมไมซ์ให้เติบโตต่อเนื่อง” 

เฉพาะในปีงบประมาณ 2569 ทีเส็บให้การสนับสนุนงานแสดงสินค้านานาชาติหน้าใหม่รวม 9 งาน จากผู้ประกอบการทั้งในไทย อินเดีย จีน เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้จัดงานทั่วโลกต่อศักยภาพของประเทศไทย

เส็บยังเดินหน้า “สร้างแบรนด์ประเทศไทย” ผ่านการใช้โอกาสจากงานระดับโลกที่กำลังจะจัดขึ้นในประเทศ โดยเฉพาะ งาน Gastech 2026 งานแสดงสินค้าและการประชุมด้านพลังงานก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงกว่า 50,000 ราย และรัฐมนตรีจาก กว่า 17 ประเทศ เข้าร่วม และ งาน UFI Asia Pacific 2026 การประชุมของบุคลากรมืออาชีพด้านอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้สมาคมการแสดงสินค้าโลก (UFI)

“การเป็นเจ้าภาพสองงานใหญ่ระดับโลกจะเป็นโอกาสต่อยอดศักยภาพทางธุรกิจของไทย และเป็นเวทีพิสูจน์ขีดความสามารถในการจัดงานระดับสากล เพื่อสร้างแบรนด์ประเทศไทยให้ชัดเจนในฐานะ The Best Exhibition Nation of ASEAN” 

ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ประเทศไทยมีกำหนดจัดงานแสดงสินค้านานาชาติกว่า 30 งาน ครอบคลุมอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น การแพทย์และสุขภาพ ดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว–หมุนเวียน และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งเป็นดัชนีสะท้อนความเชื่อมั่นของนักธุรกิจทั่วโลกในการเลือกประเทศไทยเป็นฐานจัดงาน

สำหรับปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567–กันยายน 2568) อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าไทยถือเป็น ภาคส่วนที่สร้างรายได้และดึงดูดนักเดินทางไมซ์สูงสุด โดยมีมูลค่ารวมกว่า 103,000 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางในประเทศ 23.2 ล้านคน และต่างประเทศกว่า 356,000 คน

ทีเส็บดันไทยสู่ฮับงานแสดงสินค้าอาเซียน ชูโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง–รับงานระดับโลก

ทีเส็บคาดว่าในปีงบประมาณ 2569 รายได้จากอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าจะเติบโต ร้อยละ 10 แตะระดับ 113,000 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของกลุ่มงานใหม่ระดับนานาชาติและการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

การผลักดันเป้าหมาย The Best Exhibition Nation of ASEAN ให้เป็นรูปธรรม ทีเส็บจะประสานพลังกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้จัดงาน สมาคมวิชาชีพ ไปจนถึงเครือข่ายนานาชาติ เพื่อสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมไมซ์ที่แข็งแกร่ง

ทีเส็บได้กำหนด 5 คลัสเตอร์หลัก ที่จะเป็นหัวใจของการพัฒนาและการดึงงานระดับ High Impact และ High Value ได้แก่

  1. การแพทย์และสุขภาพ (Medical & Wellness)
  2. ดิจิทัล (Digital)
  3. ยานยนต์สมัยใหม่ (EV & Advanced Manufacturing)
  4. BCG Economy — ครอบคลุมเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน เชื้อเพลิงชีวภาพ เคมีชีวภาพ เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และการแปรรูปอาหาร
  5. บริการ (Service Industries) เช่น การท่องเที่ยวสุขภาพ การบิน โลจิสติกส์ การพัฒนาบุคลากร และการศึกษา

คลัสเตอร์ทั้ง 5 สอดคล้องกับนโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล ที่มุ่งสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมในระยะสั้น พร้อมวางรากฐานให้ประเทศไทยต่อยอดสู่การเติบโตระยะยาว โดยใช้อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชิงยุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ

ทีเส็บยังมุ่งพัฒนาให้การจัดงานไม่กระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ขยายไปยัง ภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดงานระดับ Regional Exhibition ของแต่ละพื้นที่ ต่อยอดสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยว พร้อมส่งเสริมให้สถานที่จัดงานและผู้ให้บริการในภูมิภาคได้รับมาตรฐานสากล

“งานแสดงสินค้าไม่เพียงสร้างรายได้โดยตรง แต่ยังสร้างเครือข่ายธุรกิจ ความรู้ และการต่อยอดสู่การจัดประชุมองค์กรและการท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของนักเดินทางรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนรู้และสัมผัสวิถีชุมชน”

ทีเส็บดันไทยสู่ฮับงานแสดงสินค้าอาเซียน ชูโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง–รับงานระดับโลก

ดร.ศุภวรรณ กล่าวต่อว่า การสร้างแบรนด์ประเทศไทย “The Best Exhibition Nation of ASEAN” หรือประเทศแห่งการจัดงานแสดงสินค้าที่ดีที่สุดของภูมิภาค พร้อมเทียบชั้นเวทีระดับโลก จะนำเสนอคุณลักษณะประเทศตั้งแต่ขนาดและมาตรฐานพื้นที่ที่ปัจจุบันไทยมีพื้นที่จัดงานรวมใหญ่อันดับ 4 ของเอเชีย และเบอร์หนึ่งในอาเซียน ไปจนถึงความยืดหยุ่นของสถานที่ที่รองรับได้ทั้งงานอุตสาหกรรมเฉพาะทาง งานไฮบริด อีเวนต์นานาชาติขนาดใหญ่ โครงสร้างพื้นฐานครบวงจร ศูนย์แสดงสินค้า–ศูนย์ประชุมมาตรฐานสากล และการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง โลจิสติกส์ที่เชื่อมระหว่างภูมิภาค

ทั้งนี้ ได้วางยุทธศาสตร์การสร้างแบรนด์เชิงรุกที่ครอบคลุมทั้งมิติของภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคม ผ่านวิสัยทัศน์ “Change That Matters” เพื่อใช้งานแสดงสินค้าเป็นเครื่องมือสร้างคุณค่าเชิงลึกต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมี 4 กลยุทธ์หลักประกอบด้วย

  1. Global Reach – ดึงงานระดับโลกที่ตอบโจทย์คลัสเตอร์อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น เฮลท์เทค ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ พลังงานสะอาด และเศรษฐกิจหมุนเวียน เข้ามาจัดในไทย เพื่อสร้าง High Impact & High Value ต่อระบบเศรษฐกิจ
  2. Local Strength – ยกระดับงานภายในประเทศให้เป็น Flagship Events ที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบการจากทั่วโลกและสร้างคุณค่าให้กับผู้ประกอบการไทย
  3. Organisation Transformation – ปรับองค์กรสู่ระบบดิจิทัล ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการแข่งขันระดับโลก
  4. Capabilities Excellence – ยกระดับบทบาทของทีเส็บ ให้เป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Shaper) สร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม และพัฒนาผู้ประกอบการให้เป็นมืออาชีพระดับสากล

อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า เครื่องยนต์เศรษฐกิจโลก

นางสาวปนิษฐา บุรี ประธานสมาคมการแสดงสินค้าโลกประจำปี (UFI) พ.ศ. 2568 – 2569 ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและทิศทางอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าโลก กล่าวว่า อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญของโลก มีบทบาทเชื่อมโยงผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ผู้จัดงาน ผู้แสดงสินค้า ผู้ซื้อ และผู้ขาย สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและขยายโอกาสทางธุรกิจจากการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการจ้างงาน

ข้อมูลรายงาน Global Economic Impact of Exhibitions 2025 โดยสมาคมการแสดงสินค้าโลก (UFI) และ Oxford Economics ระบุว่า ในปี 2024 งานแสดงสินค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของมูลค่าตลาดโลก และคาดว่า ปีนี้ตลาดอาเซียนจะเติบโตต่อเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

โดย 3 เทรนด์ที่อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้ากำลังให้ความสำคัญ ได้แก่ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่มุ่งเน้นลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการจัดงาน, ดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital Innovation) เน้นใช้เทคโนโลยีในการจัดงาน และ ประสบการณ์เหมือนจริง (Immersive Experience) เช่น การใช้ Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) สร้างประสบการณ์ให้ผู้เข้าชมจากทั่วโลกเชื่อมต่อสัมผัสงานในรูปแบบไฮบริดและโลกเสมือนจริง

นางสาวปนิษฐา บุรี

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติในการเป็นฮับในภูมิภาคนี้ จากระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่สนับสนุน และนโยบายภาครัฐในด้านการเปิดเสรีทางการค้า การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และมีนโยบายความยั่งยืนที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลก ส่งผลให้สมาคมอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าโลก หรือ UFI ให้ความไว้วางใจเลือกไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน UFI Asia Pacific Conference 2026 งานประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่รวบรวมผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก มาร่วมประชุมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

งานนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และขยายเครือข่ายความร่วมมือกับผู้แสดงสินค้าในภูมิภาคและระดับโลกด้วย

“เรามีความร่วมมือกับทีเส็บมาอย่างยาวนาน และการจัดงาน UFI Asia Pacific 2026 ในครั้งนี้ ยังเป็นการตอกย้ำถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน และทำให้ประเทศไทยใช้โอกาสการจัดงานแสดงศักยภาพการเป็นฮับงานแสดงสินค้าในภูมิภาคเพื่อต้อนรับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าทั่วโลกมาร่วมประชุม และสร้างโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมในอนาคตอีกด้วย” 

อินฟอร์มาเลือกไทยเป็น Strategic Hub ของอาเซียน

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป–ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า อินฟอร์มามองประเทศไทยเป็น Strategic Hub ที่สำคัญที่สุดในอาเซียน และเป็นตลาดหลักในการเชื่อมต่อผู้ประกอบการจากทั่วโลกเข้าสู่ภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ภายใต้ยุทธศาสตร์การขยายพอร์ตงานระดับโลกของบริษัท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อินฟอร์มามีแผนเพิ่มงานใหม่ในประเทศไทยกว่า 5 งาน จากเดิมที่จัดอยู่แล้ว 15 งาน พร้อมทั้งขยายงานเดิมที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เช่น ProPak Asia, Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok, Asia Sustainable Energy Week, Fi Asia และ Vitafoods Asia ให้เติบโตทั้งในด้านพื้นที่จัดงาน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี และจำนวนผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าดึงผู้เข้าร่วมจากกว่า 76 ประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ

สำหรับจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ไทยได้รับความเชื่อมั่นจากผู้จัดงานระดับโลก คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดงานที่มีขนาดใหญ่และได้มาตรฐานสากล พื้นที่รวมอันดับ 4 ของเอเชีย ระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดการทำธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งในแง่ของภาครัฐที่มีนโยบายส่งเสริมชัดเจน ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพสูง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้า

ทำให้ไทยไม่ใช่เพียงสถานที่จัดงาน แต่กลายเป็น Launchpad ของอุตสาหกรรมระดับโลก ที่จะขยายตลาดเข้าสู่อาเซียนและภูมิภาคใกล้เคียง โดยในเชิงกลยุทธ์ อินฟอร์มาจะให้ความสำคัญกับกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การแพทย์และสุขภาพ (Health & Wellness), ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (Digital & AI), BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ–หมุนเวียน–สีเขียว และการแปรรูปอาหาร) และกลุ่มบริการ เช่น ท่องเที่ยวสุขภาพ โลจิสติกส์ และการพัฒนาบุคลากร

ทีเส็บดันไทยสู่ฮับงานแสดงสินค้าอาเซียน ชูโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง–รับงานระดับโลก

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนและการลงทุนที่จับต้องได้ในระยะสั้น พร้อมกับการสร้างรากฐานให้ไทยเป็นฐานยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมยุคใหม่ในระยะยาว

“ประเทศไทยถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์หลักที่มีความพร้อมรอบด้าน ทั้งในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่ขนาดใหญ่ และระบบการอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อการลงทุนระดับโลก ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาคอย่างเต็มตัว ซึ่งอินฟอร์มาจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือเชิงพันธมิตรกับภาครัฐและภาคเอกชนไทย เพื่อร่วมกันดึงงานระดับ High Impact & High Value เข้ามาจัดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้จัดงานทั่วโลกที่มีต่อประเทศไทย”