CAAT ชงกบร.ยกเลิกจำกัดอายุเครื่องบิน ลดอุปสรรค์จัดหาเครื่องบิน-จ่อขึ้นค่า PSC

14 ต.ค. 2568 | 07:43 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2568 | 08:04 น.

CAAT ชงกบร.ยกเลิกจำกัดอายุเครื่องบิน สำหรับการจดทะเบียนและให้บริการเชิงพาณิชย์ หันมาใช้เกณฑ์เดียวกับสากล ลดอุปสรรค์การจัดหาเครื่องบินของสายการบิน ทั้งชงขึ้นค่าบริการขาออกระหว่างประเทศ หรือ ค่า PSC สำหรับผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินของทอท. และกรมท่าอากาศยาน

วันนี้ (วันที่ 14 ตุลาคม 2568) พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAAT กล่าวว่า CAAT เตรียมเสนอให้คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) พิจารณายกเลิกข้อกำหนดเรื่องอายุอากาศยานสำหรับการจดทะเบียนและให้บริการเชิงพาณิชย์ โดยจะปรับแนวทางใหม่ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ใช้เกณฑ์ “ความสมควรเดินอากาศ” (Airworthiness) เป็นหลัก แทนการกำหนดอายุการใช้งาน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้สายการบินและลดอุปสรรคในการจัดหาเครื่องบิน

เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องบินทั่วโลกมีกำลังการผลิตไม่ทันต่อความต้องการ ส่งผลให้หลายสายการบินต้องหันมาใช้เครื่องบินเช่าที่มีอายุการใช้งานมากขึ้น แต่ยังอยู่ในสภาพพร้อมบิน การยกเลิกข้อจำกัดด้านอายุจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายฝูงบินได้คล่องตัวขึ้น โดยยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยสากลทุกขั้นตอน

ที่ผ่านมา ประเทศไทยกำหนดอายุสูงสุดของอากาศยานไว้ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ไม่เกิน 5 ปี เครื่องบินโดยสารไม่เกิน 16 ปี และเครื่องบินขนส่งสินค้าไม่เกิน 22 ปี ซึ่งแนวทางนี้ต่างจากประเทศส่วนใหญ่ที่พิจารณาตามสภาพและการบำรุงรักษาแทนอายุเครื่อง

มนัท ชวนะประยูร

“ความปลอดภัยของเครื่องบินไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่า CAAT มีศักยภาพและบุคลากรเพียงพอในการตรวจสอบตามมาตรฐานที่กำหนด” พล.อ.อ.มนัท กล่าวย้ำ

สำหรับแนวทางใหม่นี้สะท้อนความจริงทางเทคโนโลยีการบินยุคใหม่ ซึ่งเครื่องบินรุ่นปัจจุบันสามารถมีอายุการใช้งานยาวนานถึง 30-40 ปี หากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง การแก้ไขกฎเกณฑ์ดังกล่าวอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) และเมื่อได้รับความเห็นชอบ ก็สามารถประกาศบังคับใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาเครื่องบินได้คล่องตัวขึ้นทันที

นอกจากนี้ CAAT เตรียมเสนอให้ปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (Passenger Service Charge ) หรือ ค่า PSC  เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ของสนามบิน เช่น ระบบ CUTE, CUSS และ CUBD โดยบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. หรือ AOT  ขอปรับขึ้น 5 บาท จาก 730 บาทเป็น 735 บาทต่อคน เพื่อใช้ลงทุนพัฒนาและบำรุงรักษาระบบบริการในสนามบินหลักทั่วประเทศ

ส่วนกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ขอปรับขึ้นที่ท่าอากาศยานตรัง ปรับเพิ่มค่า PSC ขึ้น 25 บาท ในเส้นทางระหว่างประเทศ จาก 400 บาทเป็น 425 บาท และภายในประเทศ จากเดิม 50 เป็น 75 บาทต่อคน เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ได้อนุมัติให้ ทย. ปรับขึ้นค่า PSC อัตราใหม่ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 จำนวน 6 สนามบิน ประกอบด้วย ท่าอากาศยานกระบี่,สุราษฎร์ธานี, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, นครศรีธรรมราช และพิษณุโลก

ทั้งนี้ท่าอากาศยานของ ทย. จะปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะสนามบินที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง 3 ระบบมาใช้งาน ได้แก่ บริการตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง, บริการเช็คอินด้วยตัวเองอัตโนมัติ และบริการรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ ซึ่งหาก กบร.เห็นชอบการปรับขึ้นค่า PSC ของ ทอท. และ ทย. ก็จะสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ทันที คาดว่าจะประชุม กบร. ไม่เกินเดือน พ.ย.นี้

การปรับขึ้นค่า PSC ไม่ใช่เพียงการเพิ่มรายได้ แต่เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพบริการในระยะยาว เพื่อให้สนามบินของไทยก้าวสู่มาตรฐานเดียวกับประเทศชั้นนำในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ เก็บค่า PSC ประมาณ 1,500 บาท ซึ่งสูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว โดยยืนยันว่าทุกการปรับปรุงของ กพท. มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารให้ดียิ่งขึ้น พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้อุตสาหกรรมการบินไทยก้าวสู่มาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน

โดยการยกเลิกการจำกัดอายุเครื่องบิน และการปรับขึ้น ค่า PSC ทาง CAAT เตรียมเสนอให้คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ซึ่งขณะนี้ได้รับการแต่งตั้งครบองค์คณะแล้ว พิจารณาอนุมัติให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด