เศรษฐกิจไทย โตแบบ K-Shape ส่องโอกาสธุรกิจที่ยังขยายตัว ในวิกฤตภาษีทรัมป์

02 มิ.ย. 2568 | 03:05 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มิ.ย. 2568 | 03:18 น.

TDRI ประเมินเศรษฐกิจไทย เติบโตแบบ K-Shape ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ภาษีทรัมป์ สงครามการค้าแต่ในวิกฤต ก็มีโอกาสของธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัว รวมถึงการขับเคลื่อนให้ไทย เป็นฐานการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่จากต่างประเทศ และศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคนี้

TDRI ประเมินเศรษฐกิจไทย เติบโตแบบ K-Shape

TDRI ประเมินเศรษฐกิจไทย เติบโตแบบ K-Shape Recovery ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่ในวิกฤต ก็มีโอกาสของธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัว รวมถึงการขับเคลื่อนให้ไทย เป็นฐานการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่จากต่างประเทศ และศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคนี้

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.5-1.6% ตามการประเมินล่าสุดของธนาคารโลกที่ได้ปรับลดประมาณการเติบโตลง แต่การวิเคราะห์เศรษฐกิจในเชิงลึกพบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยเป็นไปในลักษณะ K-Shape Recovery

“เวลาเราวิเคราะห์เศรษฐกิจ ภาพรวมอาจจะโตน้อย แต่จริงๆ แล้วการขยายตัวของเศรษฐกิจมันก็โอเค แต่ว่าเป็นในลักษณะ K Shape รีคัฟเวอรี่ หมายถึงมันมีหลายธุรกิจเลยที่อยู่ในขาบนของ K แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีหลายธุรกิจอยู่ในขาล่างของ K เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกธุรกิจจะมาโต 1.5% หรือ 1.6% มันจะมีบางธุรกิจที่โตมากกว่านั้น บางธุรกิจที่โตน้อยกว่านั้น เฉลี่ยก็เลยกลายโต 1.5%” ดร.กิริฎา กล่าว

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร

 

โลกกำลังจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้ว

ดร.กิริฎา ชี้ว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าโลก กำลังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยจะมีการปรับระเบียบการค้า การลงทุน การเคลื่อนย้ายคนและทุนของโลก ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ ได้แก่ 

กลุ่มที่ 1 สหรัฐอเมริกา ที่จะอยู่ในฝั่งของตนเอง เนื่องจากไม่มีใครเชื่อใจอีกต่อไป

กลุ่มที่ 2 จีนกับพันธมิตร ซึ่งรวมถึงรัสเซีย อิหร่าน และประเทศในแอฟริกา

กลุ่มที่ 3 ยุโรปกับพันธมิตร เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และประเทศในลาตินอเมริกา และ

กลุ่มที่ 4 คือ ประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งรวมถึงไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และอินเดีย

สำหรับประเทศไทยมีจุดยืนเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทำให้เป็นมิตรกับทุกกลุ่ม ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนจากนานาชาติเข้ามาที่ประเทศไทย สะท้อนได้จากตัวเลขการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้ง บีโอไอ โดยนักลงทุนมาจากทุกประเทศ ทั้งจีน ไต้หวัน ยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

4 ธุรกิจ ขาบน K-Shape ท่ามกลางความท้าทาย

ดร.กิริฎา กล่าวต่อว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเติบโตไม่สูงนัก แต่ยังมีธุรกิจหลายประเภทที่อยู่ในขาบนของ K-Shape และมีการขยายตัวที่ดี โดยธุรกิจที่มีโอกาสในปัจจุบัน ประกอบด้วย

1.ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี แม้จะยังไม่กลับมาเท่า 40 ล้านคน เมื่อเทียบกับปีก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562 แต่ก็มีการฟื้นตัว โดยเชื่อว่าจะมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนการเดินทางจากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ มาสู่ไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างภูเก็ต

“ความขัดแย้งระหว่างประเทศอาจส่งผลดีต่อไทยในบางแง่มุม ยิ่งโลกแบ่งแยกมากแค่ไหน แล้วเราที่เป็นกลาง ก็จะเป็นที่น่าสนใจในการที่คนจะมาเที่ยว หรือมามีบ้านหลังที่ 2 จากการที่บางชาติไม่ต้องการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา อาจหันมาเลือกประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางแทน โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต ที่มีความต้องการจากชาวต่างชาติ เช่น ชาวรัสเซีย ที่ต้องการมีบ้านหลังที่สองในประเทศไทย ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจโรงแรม ที่พักอาศัย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว”

2.ธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการปรับตัวของภาคธุรกิจและผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

3.ธุรกิจเวลเนส (Wellness) ได้รับความนิยมสูงขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพและการดูแลตัวเองที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

4. ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ มีการเติบโตดีมาก เป็นอีกหนึ่งเซกเตอร์ที่มีโอกาสสูงในปัจจุบัน

อุตสาหกรรมใหม่ โอกาสเคลื่อนย้ายทุนเข้าไทย

อีกทั้งจากวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าโลก กำลังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โลกจะแบ่งเป็นขั้วไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยจะมีการปรับระเบียบการค้า การลงทุน การเคลื่อนย้ายคนและทุนของโลก ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โอกาสการเคลื่อนย้าย “เงินทุน” มาไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสินค้าใหม่ๆโดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูง 3 อันดับแรก ได้แก่

1. อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงและมักใช้การขนส่งทางอากาศ สะท้อนถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการย้ายฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มูลค่าสูงมาสู่ประเทศไทย

2.ชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนไฮเทคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือไฮบริด โดยชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มีมูลค่าสูงมักใช้การขนส่งทางอากาศเช่นกัน

3. ไบโอเทคโนโลยี เช่น plant-based โปรตีน ไบโอพลาสติก และเครื่องสำอาง ซึ่งไทยได้เปรียบเพราะมีฐานสินค้าเกษตรที่หลากหลายและไม่แพง การนำเทคโนโลยีชีวภาพมาต่อยอดสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและกำไรได้มาก เหมาะกับศักยภาพและทรัพยากรของประเทศไทย

นอกจากนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และระบบโลจิสติกส์สำหรับสินค้ามูลค่าสูงกลุ่มใหม่ๆ เหล่านี้ ก็จะได้รับอานิสงส์และมีโอกาสเติบโตตามไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่มุ่งเน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Low Carbon) และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Healthy) ซึ่งเป็นความต้องการหลักของตลาดโลกในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนเหล่านี้ต้องใช้เวลา 3-4 ปี ในการสร้างโรงงานให้เสร็จและเริ่มส่งออก โดยในช่วงนี้อาจจะมีการชะลอตัวบ้าง เนื่องจากนักลงทุนกำลัง “รอดูสถานการณ์” (Wait and See) ทำให้ระยะเวลาอาจยืดออกไปเป็น 3 ปีครึ่ง หรือ 4 ปี

ทั้งหมดล้วนเป็นมุมมองของ TDRI ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้น