นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การประเมินผลงานรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ผมมองว่าผ่าน ไม่อยากตีเป็นคะแนน เนื่องจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้น เป็นอนิสงค์จากนโยบายในยุคนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะนโยบายเรื่องของวีซ่าฟรี ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยได้สะดวกขึ้น
ส่วนแผนในปี 2568 อยากให้นายกฯอิ๊งค์ มีนโยบายในการต่อมาตรการวีซ่าฟรีกับประเทศต่างๆออกไปอีก จากที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งอยากให้มีการประกาศแต่เนิ่นๆ เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้วางแผนเดินทางล่วงหน้า
รวมถึงอยากให้กระตุ้นการเดินทางเที่ยวในประเทศมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยอยากให้นำนโยบายเราเที่ยวด้วยกัน กลับมาใช้ ซึ่งหากรัฐบาลเห็นด้วยในเรื่องนี้ ก็ควรจะประกาศแต่เนิ่นๆเช่นกัน ซึ่งนโยบายนี้จะมาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซันได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการสนับสนุนภาคเอกชน อย่างโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเรื่องความยั่งยืน โดยสนับสนุนให้สถาบันการเงินออกแพ็คเกจซอฟต์โลน เพื่อปล่อยกู้ให้โรงแรม หรือธุรกิจ นำเงินมาพัฒนาสถานประกอบการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน เนื่องจากภายในปี 2569 มีกฏจาก Global Sustainable Tourism Council หรือ GSTC ที่จะแบนแหล่งท่องเที่ยวหรือโรงแรมที่ไม่ได้ทำเรื่องความยั่งยืน
เช่น การขายโรงแรมในแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ก็จะเห็นเฉพาะโรงแรมที่ได้รับใบรับรองเรื่องความยั่งยืน เป็นต้น โดยจะเริ่มเห็นในยุโรปก่อน จากนั้นมาตรการเหล่านี้ก็คงกระจายไปในภูมิภาคต่างๆ
โดยปัญหาสำคัญในขณะนี้ คือ การออกใบรับรองการดำเนินการของโรงแรมด้านความยั่งยืน หรือ Hotel Plus ที่ในขณะนี้กรมลดโลกร้อน เป็นเจ้าภาพในการออกใบรับรอง แต่ก็พบปัญหาว่ามีศักยภาพในการตรวจรับรองได้เพียงปีละ 60 โรงแรมเท่านั้น ขณะที่โรงแรมในไทยมีหลายหมื่นโรงแรม จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ทางสมาคมโรงแรมไทย ยังได้มีการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรม พบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ยังอยากให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนี้
1.มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย โดยเน้นการท่องเที่ยวเมืองรอง มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและใช้จ่ายสูง รวมถึงสนับสนุนให้มีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพิ่มเติม
2.มาตรการช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคและพลังงาน ลดภาษีที่ดินและโรงเรือน มาตรการลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
3.มาตรการด้านแรงงาน โดยให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนการเพิ่มทักษะของแรงงานในธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะพนักงานทำความสะอาด และพนักงานบริการในห้องอาหาร
4.มาตรการด้านการเงิน เช่น ดูแลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในระดับเดียวกับประเทศอื่น มีมาตรการสินเชื่อระยะสั้นหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในการปรับปรุงที่พักแรม โดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลาง-เล็ก และโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
5.มาตรการอื่น ๆ เช่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและสาธารณูปโภค และตรวจสอบการเข้ามาทำธุรกิจของต่างชาติที่อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการ โรงแรมราว 50% กังวลต่อการเข้ามาแข่งขันของธุรกิจและทุนต่างชาติ อาทิ ธุรกิจจีน โดยโรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาว ส่วนใหญ่มีความกังวลด้านราคา ขณะที่โรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ส่วนใหญ่มีความกังวลด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ โรงแรมในภาคกลางและภาคเหนือ กังวลมากกว่าภาคอื่น
สำหรับทิศทางการท่องเที่ยว มีปัจจัยบวกสนับสนุนจากทางภาครัฐและภาคเอกชนให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ผ่านแผนกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวหลากหลายโครงการ พร้อมทั้งเดินหน้าส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้มีนโยบายส่งเสริมประเทศไทยเป็น Entertainment &Event Hub ด้วยการดึง Global Event ในหลากหลายมิติทั้งงานเทศกาลดนตรี กีฬา ศิลปะ เข้ามาจัดในประเทศไทย
ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรสายการบิน เพื่อฟื้นฟูเที่ยวบินให้คืนกลับมาเต็มที่ และให้ความสำคัญกับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาในแนวทางสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) และกำหนดมาตรฐานราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพสินค้าและบริการ
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,054 วันที่ 19 - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567