ทายาทรุ่นสอง ‘สหไทย สุราษฎร์ฯ’ พลิกวิกฤต ไม่มีคนเช่า-ไร้คนเดิน สู่แลนมาร์ก

24 ต.ค. 2568 | 07:40 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ต.ค. 2568 | 08:35 น.

“ไม่มีใครเปิด…ผมเปิดเอง” เรื่องจริงของทายาทห้างภูธรมูลค่าพันล้านที่เกือบร้างทั้งศูนย์ สหไทยพลาซ่า สุราษฎร์ฯ จากห้างที่ไม่มีร้าน ไม่มีลูกค้า วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจเมือง ด้วยแนวคิด Hybrid Model – Local Focus – ลงมือทำก่อนใคร

KEY

POINTS

  • สหไทยพลาซ่า สุราษฎร์ธานี เผชิญวิกฤตหนักหลังขยายห้างใหม่ ไม่มีผู้เช่าและคนเดิน เนื่องจากเปิดตัวชนกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
  • ทายาทรุ่นที่ 2 "สศิษฏ์ ปัญจคุณาธร" แก้ปัญหาด้วยการสร้างทราฟฟิกก่อน โดยลงทุนเปิดธุรกิจต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น ฟิตเนส สนามเด็กเล่น และร้านอาหาร
  • ใช้กลยุทธ์ "Local Focus" สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นผ่านการเปิดพื้นที่ขายฟรีและโมเดลค่าเช่าที่ยืดหยุ่น เพื่อสร้างความคึกคัก
  • ผลจากการพลิกวิกฤตทำให้ห้างกลับมามีชีวิตชีวา มีผู้ใช้บริการกว่า 2 หมื่นคนต่อวัน ดึงดูดแบรนด์ใหญ่เข้ามาลงทุน และกลายเป็นแลนด์มาร์กของจังหวัด

ในวันที่ห้างค้าปลีกภูธรจำนวนมากต้องปิดตัวลงท่ามกลางการรุกคืบของห้างยักษ์ใหญ่และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป “สหไทยพลาซ่า สุราษฎร์ธานี” กลับสามารถพลิกเกมได้อย่างน่าจับตา “ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “สศิษฏ์ ปัญจคุณาธร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุราษฎร์ธานี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

ทายาทรุ่น 2 ของผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นภาคใต้ “ห้างสหไทย” สามารถยืนหยัดและเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง จากห้างที่เคยเงียบเหงาไร้ผู้เช่า กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองสุราษฎร์ฯ ที่มีทราฟฟิกคนเข้าวันละกว่า 2 หมื่นคน พร้อมพัฒนาโมเดลค้าปลีกแบบผสม (Hybrid Model) ที่ยึด “Local Focus” เป็นหัวใจสำคัญ

ตระกูลปัญจคุณาธรเริ่มต้นธุรกิจจากร้านขายของชำก่อนขยายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า “สหไทย” ที่นครศรีธรรมราชเมื่อกว่า 60 ปีก่อน “สศิษฏ์” เล่าว่า ปี 2526 คุณพ่อตัดสินใจ “แยกตัว” มาสร้างแบรนด์ “สหไทย สุราษฎร์ธานี” เริ่มต้นจากตึกแถว 5 ห้องบนถนนหน้าเมือง ก่อนจะขยายเป็นตึกใหญ่ที่เปิดในปี 2534 มีพื้นที่ราว 1.4 – 1.5 หมื่นตารางเมตร ถือเป็นห้างที่ทันสมัยที่สุดของจังหวัดในเวลานั้น

ต่อมาในปี 2558 ได้ลงทุนขยายพื้นที่ห้างแห่งใหม่ (ปัจจุบัน) ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 2,000 ล้านบาท รวมที่ดินและการพัฒนา แต่กลับต้องเจอปัญหาการก่อสร้างล่าช้าและการเปิดตัวชนกับห้างยักษ์ใหญ่จากส่วนกลาง ทำให้ผู้เช่าถอนตัวจำนวนมาก ห้างเปิดวันแรกแทบว่างเปล่า

ปัญหาใหญ่หลังเปิดห้างคือปัญหา “ไก่กับไข่” ไม่มีผู้เช่า – ไม่มีคนเดิน – ไม่มีรายได้ ค่าใช้จ่ายคงที่สูง ทั้งระบบไฟ แอร์ พนักงาน และภาระหนี้ ทำให้ธุรกิจต้องอยู่ในโหมด “ประคับประคอง” นานหลายปี การพยายามดึงแบรนด์จากกรุงเทพฯ มาลงพื้นที่ก็ไม่สำเร็จ เพราะ “ขนาดตลาดภูธรไม่ใหญ่พอ” ที่จะจูงใจให้แบรนด์ใหญ่เปิดสาขามากกว่าหนึ่งแห่ง ผู้ประกอบการท้องถิ่นเองก็ลังเลเพราะขาดเงินทุนและระบบไม่เอื้อ

ทายาทรุ่นสอง ‘สหไทย สุราษฎร์ฯ’ พลิกวิกฤต ไม่มีคนเช่า-ไร้คนเดิน สู่แลนมาร์ก

เมื่อเข้ามารับผิดชอบการบริหารอย่างเต็มตัวราวปี 2560 โจทย์สำคัญที่ “สศิษฏ์” ตั้งไว้คือ "ต้องสร้างทราฟฟิกก่อน" เพราะถ้าไม่มีคนมาเดิน ร้านค้าก็ไม่กล้าเปิด

“วันนั้นเหมือนหลังพิงฝา ไม่มีใครมาเปิด ก็เปิดเอง ผมทำหมด ฟิตเนส สนามเด็กเล่น ร้านอาหาร ยอมทำทุกอย่าง ถ้ารอคนมาเปิด ก็จะไม่มีวันเกิด ผมเลยลงมือทำเองก่อน"

 

“สศิษฏ์” ตัดสินใจเดินหน้า 4 โครงการนำร่องเพื่อปลุกชีวิตห้างอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การเปิดพื้นที่ขายฟรี เพื่อดึงพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นเข้ามาสร้างความคึกคัก, การโฟกัสร้านอาหาร เมื่อพฤติกรรมคนเริ่มมากินข้าวที่ห้างมากขึ้น แต่ไม่มีแบรนด์ไหนยอมมาเปิด, การรีแบรนด์ภาพลักษณ์ห้าง ให้สมัยใหม่ขึ้น และการคิดโมเดลลงทุนเอง เมื่อไม่มีใครมาเปิดร้านก็เปิดเอง

ทายาทรุ่นสอง ‘สหไทย สุราษฎร์ฯ’ พลิกวิกฤต ไม่มีคนเช่า-ไร้คนเดิน สู่แลนมาร์ก

จุดพลิกเกมสำคัญคือ การตัดสินใจลงทุนเปิดฟิตเนส ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจแรกๆ ที่เริ่มก่อนและเติบโตต่อเนื่องจน จนยอดขายโตขึ้น 7 เท่า จากฐานต่ำสุดและยังเปิด สนามเด็กเล่นในร่ม ขนาด 600–700 ตารางเมตร ซึ่งกลายเป็นตัวดึงดูด กลุ่มครอบครัว ให้ขับรถเข้ามาและสร้างทราฟฟิกเพิ่มขึ้นจริง

ทายาทรุ่นสอง ‘สหไทย สุราษฎร์ฯ’ พลิกวิกฤต ไม่มีคนเช่า-ไร้คนเดิน สู่แลนมาร์ก

การกล้าที่จะคิดและพลิกกลยุทธ์ เริ่มต้นทำธุรกิจเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเอง อย่าง “SsnSan Shabu และสเต็กเฮ้าส์” โดยใช้ความได้เปรียบจากการมีซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือ ในการลดต้นทุนวัตถุดิบและควบคุม Margin ทำให้ธุรกิจอาหารที่ลงทุนเองนั้นแข็งแกร่ง รวมถึงการสร้างแบรนดิ้งและการตลาดดิจิทัล จนเกิดเป็น ไวรัล แชร์หลายพันครั้ง ซึ่งช่วยสร้างความสนใจและดึงคนเข้ามาได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้กลยุทธ์ Local Focus ออกแบบรูปแบบการเช่าที่เริ่มต้นจาก ราคาที่ต่ำมาก เพื่อให้ โลคัลแบรนด์ เข้ามาได้ง่าย ก่อนจะปรับราคาค่าเช่าขึ้นตามมูลค่าเมื่อทราฟฟิกดีขึ้น

ผลลัพธ์จากความพยายามในการ “ลองผิดลองถูก” และการลงทุนเองนี้ จนมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้แบรนด์ใหญ่ ให้ความสนใจและเริ่มเข้ามาลงทุน

สำหรับแผนพัฒนาในอนาคต สหไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นห้างสรรพสินค้า แต่มีแผนพัฒนาบิ๊กโปรเจกต์ “Sunny Market” ซึ่งเป็นโซนตลาดใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงห้างกับเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างแลนด์มาร์กที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว

“เป้าหมายของเราคือการให้ห้างเป็นศูนย์กลางชีวิต (Center of City Life) ของเมือง ไม่ใช่เพียงจุดช้อปปิ้งเท่านั้น”

“สศิษฏ์” กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตของค้าปลีกภูธรว่า ในอีก 3–5 ปีข้างหน้า ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องยึด Local Value, ปรับมิกซ์สินค้า และ เป็นมากกว่าห้าง ด้วยการมีกิจกรรมและตลาดท้องถิ่น สิ่งสำคัญสำหรับผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัวในภูธรคือ การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเป็น Local กับความเป็น มืออาชีพด้านการบริหาร และความกล้าที่จะ “ลงมือทำก่อน” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลงานที่จับต้องได้จริง