KEY
POINTS
ในวันที่ห้างค้าปลีกภูธรจำนวนมากต้องปิดตัวลงท่ามกลางการรุกคืบของห้างยักษ์ใหญ่และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป “สหไทยพลาซ่า สุราษฎร์ธานี” กลับสามารถพลิกเกมได้อย่างน่าจับตา “ฐานเศรษฐกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “สศิษฏ์ ปัญจคุณาธร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุราษฎร์ธานี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
ทายาทรุ่น 2 ของผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นภาคใต้ “ห้างสหไทย” สามารถยืนหยัดและเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง จากห้างที่เคยเงียบเหงาไร้ผู้เช่า กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองสุราษฎร์ฯ ที่มีทราฟฟิกคนเข้าวันละกว่า 2 หมื่นคน พร้อมพัฒนาโมเดลค้าปลีกแบบผสม (Hybrid Model) ที่ยึด “Local Focus” เป็นหัวใจสำคัญ
ตระกูลปัญจคุณาธรเริ่มต้นธุรกิจจากร้านขายของชำก่อนขยายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า “สหไทย” ที่นครศรีธรรมราชเมื่อกว่า 60 ปีก่อน “สศิษฏ์” เล่าว่า ปี 2526 คุณพ่อตัดสินใจ “แยกตัว” มาสร้างแบรนด์ “สหไทย สุราษฎร์ธานี” เริ่มต้นจากตึกแถว 5 ห้องบนถนนหน้าเมือง ก่อนจะขยายเป็นตึกใหญ่ที่เปิดในปี 2534 มีพื้นที่ราว 1.4 – 1.5 หมื่นตารางเมตร ถือเป็นห้างที่ทันสมัยที่สุดของจังหวัดในเวลานั้น
ต่อมาในปี 2558 ได้ลงทุนขยายพื้นที่ห้างแห่งใหม่ (ปัจจุบัน) ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 2,000 ล้านบาท รวมที่ดินและการพัฒนา แต่กลับต้องเจอปัญหาการก่อสร้างล่าช้าและการเปิดตัวชนกับห้างยักษ์ใหญ่จากส่วนกลาง ทำให้ผู้เช่าถอนตัวจำนวนมาก ห้างเปิดวันแรกแทบว่างเปล่า
ปัญหาใหญ่หลังเปิดห้างคือปัญหา “ไก่กับไข่” ไม่มีผู้เช่า – ไม่มีคนเดิน – ไม่มีรายได้ ค่าใช้จ่ายคงที่สูง ทั้งระบบไฟ แอร์ พนักงาน และภาระหนี้ ทำให้ธุรกิจต้องอยู่ในโหมด “ประคับประคอง” นานหลายปี การพยายามดึงแบรนด์จากกรุงเทพฯ มาลงพื้นที่ก็ไม่สำเร็จ เพราะ “ขนาดตลาดภูธรไม่ใหญ่พอ” ที่จะจูงใจให้แบรนด์ใหญ่เปิดสาขามากกว่าหนึ่งแห่ง ผู้ประกอบการท้องถิ่นเองก็ลังเลเพราะขาดเงินทุนและระบบไม่เอื้อ
เมื่อเข้ามารับผิดชอบการบริหารอย่างเต็มตัวราวปี 2560 โจทย์สำคัญที่ “สศิษฏ์” ตั้งไว้คือ "ต้องสร้างทราฟฟิกก่อน" เพราะถ้าไม่มีคนมาเดิน ร้านค้าก็ไม่กล้าเปิด
“วันนั้นเหมือนหลังพิงฝา ไม่มีใครมาเปิด ก็เปิดเอง ผมทำหมด ฟิตเนส สนามเด็กเล่น ร้านอาหาร ยอมทำทุกอย่าง ถ้ารอคนมาเปิด ก็จะไม่มีวันเกิด ผมเลยลงมือทำเองก่อน"
“สศิษฏ์” ตัดสินใจเดินหน้า 4 โครงการนำร่องเพื่อปลุกชีวิตห้างอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น การเปิดพื้นที่ขายฟรี เพื่อดึงพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นเข้ามาสร้างความคึกคัก, การโฟกัสร้านอาหาร เมื่อพฤติกรรมคนเริ่มมากินข้าวที่ห้างมากขึ้น แต่ไม่มีแบรนด์ไหนยอมมาเปิด, การรีแบรนด์ภาพลักษณ์ห้าง ให้สมัยใหม่ขึ้น และการคิดโมเดลลงทุนเอง เมื่อไม่มีใครมาเปิดร้านก็เปิดเอง
จุดพลิกเกมสำคัญคือ การตัดสินใจลงทุนเปิดฟิตเนส ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจแรกๆ ที่เริ่มก่อนและเติบโตต่อเนื่องจน จนยอดขายโตขึ้น 7 เท่า จากฐานต่ำสุดและยังเปิด สนามเด็กเล่นในร่ม ขนาด 600–700 ตารางเมตร ซึ่งกลายเป็นตัวดึงดูด กลุ่มครอบครัว ให้ขับรถเข้ามาและสร้างทราฟฟิกเพิ่มขึ้นจริง
การกล้าที่จะคิดและพลิกกลยุทธ์ เริ่มต้นทำธุรกิจเอง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเอง อย่าง “SsnSan Shabu และสเต็กเฮ้าส์” โดยใช้ความได้เปรียบจากการมีซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือ ในการลดต้นทุนวัตถุดิบและควบคุม Margin ทำให้ธุรกิจอาหารที่ลงทุนเองนั้นแข็งแกร่ง รวมถึงการสร้างแบรนดิ้งและการตลาดดิจิทัล จนเกิดเป็น ไวรัล แชร์หลายพันครั้ง ซึ่งช่วยสร้างความสนใจและดึงคนเข้ามาได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้กลยุทธ์ Local Focus ออกแบบรูปแบบการเช่าที่เริ่มต้นจาก ราคาที่ต่ำมาก เพื่อให้ โลคัลแบรนด์ เข้ามาได้ง่าย ก่อนจะปรับราคาค่าเช่าขึ้นตามมูลค่าเมื่อทราฟฟิกดีขึ้น
ผลลัพธ์จากความพยายามในการ “ลองผิดลองถูก” และการลงทุนเองนี้ จนมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้แบรนด์ใหญ่ ให้ความสนใจและเริ่มเข้ามาลงทุน
สำหรับแผนพัฒนาในอนาคต สหไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นห้างสรรพสินค้า แต่มีแผนพัฒนาบิ๊กโปรเจกต์ “Sunny Market” ซึ่งเป็นโซนตลาดใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงห้างกับเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างแลนด์มาร์กที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยว
“เป้าหมายของเราคือการให้ห้างเป็นศูนย์กลางชีวิต (Center of City Life) ของเมือง ไม่ใช่เพียงจุดช้อปปิ้งเท่านั้น”
“สศิษฏ์” กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตของค้าปลีกภูธรว่า ในอีก 3–5 ปีข้างหน้า ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องยึด Local Value, ปรับมิกซ์สินค้า และ เป็นมากกว่าห้าง ด้วยการมีกิจกรรมและตลาดท้องถิ่น สิ่งสำคัญสำหรับผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัวในภูธรคือ การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเป็น Local กับความเป็น มืออาชีพด้านการบริหาร และความกล้าที่จะ “ลงมือทำก่อน” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลงานที่จับต้องได้จริง